เป็นเรื่องช่วยไม่ได้สำหรับคนที่เลือกเรียนคณะทางภาษา ที่จะต้องโดนบังคับเรียนภาษาอังกฤษหลายตัวอยู่ ถึงแม้ว่าสาขาวิชาที่คุณเลือกเรียนในคณะนั้นๆจะเป็นภาษาโปรตุเกสหรือบรรณารักษ์ก็ตาม ในฐานะคนที่เคยผ่านเรื่องช่วยไม่ได้เช่นนั้นมาอย่างพะอืดพะอมเล็กน้อย ต้องบอกว่าเนื้อหาในบรรดาวิชาบังคับเหล่านั้นได้ปะปนกันในความทรงจำจนลืมๆไปแล้วว่าอันไหนเป็นอันไหน แต่พอจะจำได้ว่ามีที่เกี่ยวกับการเขียน(Writing)อยู่ด้วย ดูเหมือนมันจะเป็นส่วนเสริมของวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานมากกว่าจะเป็นชื่อวิชาที่เน้นเรื่องนี้ล้วนๆ(ที่เป็นชื่อวิชาแบบเรียนเจาะเฉพาะการเขียนเลยก็มี แต่ไม่ได้และไม่เคยคิดจะลงเรียน)เนื้อหาเท่าที่จำได้ก็จะแบ่งออกเป็นพารากราฟลักษณะต่างๆ ให้ผู้เรียนได้ลงมือเขียนจริง และพารากราฟแบบหนึ่งที่ได้เรียนคือพารากราฟที่เขียนขึ้นเพื่อโน้มน้าวจิตใจผู้อ่าน (Persuasive Paragraph)
เนื่องจากถนัดนักในด้านแกรมมั่ว(ญาติห่างๆของแกรมม่า) และตระหนักในคุณสมบัติข้อนี้ของตนดี วิธีเขียนที่ใช้จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างบ้านๆ ซื่อใส ตรงไปตรงมา พยายามหลีกเลี่ยงแกรมม่าที่วิลิศมาหรา เพราะเจียมตนว่าเราเป็นแค่ญาติห่างๆกัน งานที่ออกมาจึงมักคล้ายเด็กหัดเขียนเรียงความภาษาไทย คือขึ้นต้นด้วยประโยคเมนไอเดียที่ต้องการเรียกร้องให้ผู้อ่านกระทำ ตามด้วยการยกเหตุผล3-4ข้อเพื่อสนับสนุนให้คนอ่านคล้อยตาม ปิดท้ายด้วยบทสรุปสั้นๆ ไม่ได้มีลีลาและชั้นเชิงการเขียนอะไรมากมายเลย นึกไปนึกมาแล้วก็อยากเขียนอะไรแบบนั้นในภาษาไทยบ้าง คือขึ้นมาด้วยประโยคที่อยากให้คนอ่านทำมันทื่อๆ ไม่ต้องเกริ่นต้องชักแม่น้ำทั้งห้า-หก-เจ็ดสายจนมันท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงไป
และประโยคที่อยากจะใช้ขึ้นต้นแบบนั้นในเวลานี้ก็คือ “คุณ(ๆ)ไม่ควรปล่อยให้ชีอะฮฺมาเผยแพร่อะกีดะฮฺ(อันสุดแสนจะฏอลาละฮฺ)ของพวกเขาได้อย่างอิสระในเว็บไซต์ของคุณ(ๆ)”
มันเป็นประโยคทื่อๆที่คิดออกหลังจากเข้าไปเยี่ยมชมเว็บบอร์ดมุสลิมบางแห่ง ที่จริงความรุนแรงของความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ปรากฏนั้น มันควรจะเหมาะกับประโยคที่ดุเดือดมากกว่านี้ แต่คิด(และเชื่อ)ว่ามีพี่น้องจำนวนไม่น้อยได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างดุเดือดกับสิ่งที่ปรากฏนั่นไปแล้วทั้งโดยสาธารณะและโดยส่วนตัวกับผู้ดูแลพื้นที่ตรงนั้น จึงขอขึ้นต้นเฉิ่มๆแบบเพอร์ซูเอซีฟพารากราฟที่เคยเขียนก็แล้วกัน
มีเหตุผลสามสี่ข้อสำหรับข้อเรียกร้องดังกล่าวที่ต้องขออธิบายให้เกินไปกว่าความเป็นพารากราฟ
อย่างแรกที่พยายามคิดก่อนจะหาเหตุผลสนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าว คือคำถามที่ว่า พี่น้องมุสลิมที่ยอมให้ชีอะฮฺมีพื้นที่นำเสนอแนวทางของพวกเขาในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน ใช้เหตุผลหรือชุดความคิดอะไรในการยินยอมที่แสนจะสุ่มเสี่ยงนี้? คงจะต้องขอตอบคำถามนี้บนพื้นฐานที่เชื่อว่าพี่น้องไม่ได้เห็นด้วยอยู่แล้วกับแนวทางและความเชื่อของชีอะฮฺ เพราะมิฉะนั้นก็คงจะถือเป็นการยัดเยียดข้อหาฉกาจฉกรรจ์ให้พี่น้องเลยทีเดียว
นึกคำตอบออก 2 อย่างสำหรับคำถามข้างต้น คือ ๑-ความไม่มีเวลาของคนดูแลเว็บที่จะสอดส่องตรวจตราลายระเอียดในเว็บไซต์ได้อย่างทั่วถึง กับ ๒- เป็นเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับคำว่าเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งจะเกี่ยวโยงกับชุดความคิดประมาณว่า “การเปิดพื้นที่ให้มีการโต้แย้งกันระหว่างซุนนะฮฺกับชีอะฮฺก็เท่ากับเป็นการเปิดพื้นที่ให้สัจธรรมได้โต้แย้งกับความเท็จ ในเมื่อซุนนะฮฺเป็นหนทางที่ถูกต้องจริง จะกลัวอะไร”
สำหรับคำตอบข้อที่๑ ซึ่งเกี่ยวกับความบกพร่องในอมานะฮฺของผู้ดูแลนั้น คงจะไม่พูดถึง เพราะนอกจากทางแก้จะเป็นเรื่องที่ต้องใช้การนะซีฮะฮฺส่วนบุคคลมากกว่าการถกอภิปรายสาธารณะแล้ว หลายคนคงคิดตรงกันว่ามันไม่น่าจะใช่เหตุผล เพราะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ลักษณะของการเร้นรอดจากการตรวจตรามาสองสามหัวข้อ แต่มันมาแบบยกแผงชนิดที่ควรจะพูดว่าไม่ได้ตรวจตราเลยมากกว่าตรวจตราไม่ทั่ว
สำหรับคำตอบข้อที่ ๒ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกนั้น คือประเด็นที่อยากพูดถึง เพราะมีข้อเห็นแย้งนิดหน่อยสำหรับชุดความคิดนี้
อย่างแรกสุด เราต้องเข้าใจก่อนว่าชีอะฮฺไม่เหมือนศัตรูอิสลามรายอื่นๆ และระหว่างชีอะฮฺกับซุนนะฮฺก็ไม่ใช่คู่ขัดแย้งแบบที่จะเอาความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายในกรณีอื่นๆมาเปรียบเทียบได้(ฉะนั้นจึงไม่ควรยกตัวอย่างการถกกันระหว่างคู่ความขัดแย้งอื่นๆมาเป็นข้อสนับสนุนว่าควรมีพื้นที่สาธารณะให้ชีอะฮฺได้นำเสนอแนวคิดของตัวเองบ้าง) ข้อสำคัญที่สุดคือชีอะฮฺด่าทอภรรยาท่านนบีและบรรดาซอฮาบะฮฺ ซึ่งกาฟิรส่วนใหญ่ไม่ได้ทำ(เป็นเหตุผลว่าทำไมเราอาจเสวนาอย่างสันติกับกาฟิรบางคนได้ แต่ไม่อาจทำเช่นนั้นกับชีอะฮฺได้) ฉะนั้นเหตุผลที่ใช้มันก็เหมือนกับการที่บอกว่า เราต้องเปิดโอกาสให้คนที่ด่าพ่อล่อแม่เราได้มีพื้นที่นำเสนอแนวคิดที่นำไปสู่การด่าพ่อล่อแม่เราบ้าง ถ้าพ่อแม่เราเป็นคนดีอยู่แล้ว จะกลัวอะไร!
คุณสมบัติประการสำคัญอีกอย่างของชีอะฮฺที่ทำให้เหตุผลข้อนี้ไม่อาจพิสูจน์ตัวเองได้ ก็คือความเป็นจอมโกหก เป็นอัล-กัซซาบ เป็นไลเออร์ (ไม่รู้จะหาภาษาไหนมานิยามแล้ว) ของชีอะฮฺ อันเป็นคุณสมบัติที่อยู่ในอะกีดะฮฺของพวกเขาจนเราไม่ต้องตั้งข้อสงสัยอีก เอาล่ะ – ถ้าจะพูดเกี่ยวกับแนวคิดในการเปิดพื้นที่สานเสวนาเพื่อทำความเข้าใจ หรืออะไรเทือกๆนั้น คนที่พูดแนวคิดนี้คงจะทราบดีว่า การจะเสวนา จะถกกันในเรื่องแนวคิดที่ต่างกันให้เกิดประโยชน์ได้นั้น คู่สนทนาจะต้องเริ่มต้นจากความไว้เนื่อเชื่อใจกันอย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง(อันนี้นอกเรื่องหน่อย – ไม่แน่ใจว่าการสานเสวนาที่พูดถึงกันในหมู่มุสลิมเรามีจุดเริ่มมาจากทฤษฎีของใครเป็นการเฉพาะรึเปล่า แต่ในการศึกษาสากล การสานเสวนา(Dialogue)นี่มาจากแนวคิดของเดวิด โบห์ม(David Bohm) ซึ่งเป็นยิว) และต้องมีสัจจะในสิ่งที่ตนนำเสนอ(อันเป็นคุณสมบัติทั่วไปของปุถุชนที่ดี แย่ตรงที่มันไม่มีในชีอะฮฺ) ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยกับคู่สนทนาที่คุณรู้อยู่แก่ใจว่าความเชื่อของเขานั้นสามารถจะโกหกพกลมอย่างไรก็ได้ ฉะนั้นการเปิดพื้นที่นี้จึงเปล่าประโยชน์อย่างแทบจะสิ้นเชิง หากคุณหวังจะทำให้เกิดความกระจ่างในแนวคิดของแต่ละฝ่าย
นั่นคือข้อเห็นแย้งสำหรับเหตุผลที่คิด(เอาเอง)ว่าพี่น้องที่ให้พื้นที่ชีอะฮฺนำเสนอความคิดความเชื่อของพวกเขาน่าจะใช้อธิบายการยินยอมของตน ต่อไปก็คงจะพูดถึงเหตุผลที่คิดว่าไม่ควรเปิดพื้นที่ดังกล่าวให้ชีอะฮฺ ซึ่งคงจะพูดถึงอย่างสั้นๆ เพราะมันชักจะเลยความเป็นพารากราฟมากเกินไปแล้ว
“คุณ(ๆ)ไม่ควรปล่อยให้ชีอะฮฺมาเผยแพร่อะกีดะฮฺ(อันสุดแสนจะฏอลาละฮฺ)ของพวกเขาได้อย่างอิสระในเว็บไซต์ของคุณ(ๆ)” เพราะ…
– เว็บไซต์ของคุณซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะนั้น มีโอกาสที่จะเข้าถึงได้โดยคนประมาณ1,500 ล้านคน อันเป็นตัวเลขของคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งโลก หรือถ้าจะเอาเฉพาะในไทยก็ราวๆ 17 ล้านคน ในจำนวนนี้ คุณไม่อาจรู้เลยว่าสักกี่คนที่เข้าใจแก่นแห่งความฎอลาละฮฺของชีอะฮฺในระดับที่พอจะเอาตัวรอดจากข้อมูลของจอมโกหกพลิกแพลงตัวแม่อย่างชีอะฮฺได้ มันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสมากนะ ถ้าพื้นที่ในความรับผิดชอบของเรา(ซึ่งแปะหน้าหราว่าอิสลาม,มุสลิม ฯลฯ)จะต้องมีส่วนในการนำเสนอความหลงผิดเหล่านั้น ถ้ามันจำเป็นจะต้องเปิดจริงๆล่ะก็นะ ควรจะเปิดเป็นห้องเฉพาะกิจที่สแกนคนเข้าร่วมได้ และมีผู้รู้ฝ่ายซุนนะฮฺประจำการคอยถกอิปรายโต้กลับด้วย
– ความสกปรกของชีอะฮฺนั้นจะนำความไม่มีบะรอกะฮฺไปยังทุกๆที่ที่พวกเขาผ่านไป นี่พูดจากประสบการณ์ตรงหลายๆเรื่อง รวมทั้งจากเว็บไซต์มุสลิมที่เปิดพื้นที่ให้ชีอะฮฺนั่นแหละด้วย การให้พื้นที่เขาสำหรับถกอภิปรายอะไรๆที่อาจพูดในทางทฤษฎีได้ว่าจะเกิดประโยชน์อย่างโน้นอย่างนี้ สุดท้ายเราก็เห็นๆกันอยู่ว่าที่อภิปรายกันส่วนมากนั้น เป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์ หรือโทษกันแน่ เป็นเรื่องที่นำไปสู่บรรยากาศแห่งอิสลาม หรือตรงกันข้าม หากมองในมุมการดะอฺวะฮฺ(ซึ่งก็มีคนใช้อ้างอยู่เหมือนกัน) ว่าคนที่กำลังศึกษาจะได้รู้ข้อมูลทั้งสองด้าน ก็ไม่น่าจะเป็นการเกินไปถ้าจะบอกว่าสิ่งที่พื้นที่ที่คุณเปิดจะมอบให้แก่คนเป็นกลางที่ยังไม่รู้อะไร ไม่ใช่การเลือกข้างใดข้างหนึ่งหรอก แต่เขาจะไม่เอาทั้งสองข้างนั่นแหละ เพราะหลายๆครั้งการนำเสนอของตัวบุคคลได้นำไปสู่บรรยากาศที่น่าสลดใจและชวนให้เตลิดไกลเป็นอย่างยิ่ง (ทั้งที่จริงแล้ว การโต้ตอบกับชีอะฮฺก็อาจต้องใช้ความดุเดือดบ้างนั่นแหละ แต่เมื่อคนที่รับชมเป็นคนที่ไม่เข้าใจมาก่อน ก็ไม่แปลกถ้าเขาจะยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่ ฉะนั้น มันก็จะนำไปสู่ข้อเสนอเดิมในข้อที่แล้วว่าให้เปิดห้องเฉพาะกิจ (ถ้าอยากจะเปิดนักน่ะนะ) ที่ไม่อาจเข้าถึงได้โดยคนทั่วๆไป)
– ถ้าคุณเป็นหนึ่งในผู้ดูแลเว็บไซต์ที่เปิดพื้นที่ให้ชีอะฮฺแสดงตัวและความเชื่อของพวกเขา ลองประเมินตัวเองดูเถิดว่าการตัดสินใจเช่นนั้นนำสิ่งใดมาสู่ตัวคุณและเว็บไซต์ของคุณบ้าง บรรยากาศต่างๆในเว็บของคุณดีขึ้นหรือเลวลงจากช่วงเวลาก่อนหน้า และพี่น้องมุสลิมทั่วไปคิดกับเว็บไซต์ของคุณอย่างไรในปัจจุบัน หลายๆครั้งความตกต่ำของเราก็ควรเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลับมาตรวจสอบตัวเองว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า โดยเฉพาะความผิดพลาดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของอัลลอฮฺ…มิใช่หรือ?
ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนเพอร์ซูเอซีฟพารากราฟแบบเด็กประถม แต่ไปๆมาๆทำไมมันออกมาอย่างนี้ก็ไม่ทราบ เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรล่วงเกินพี่น้องท่านใดไปก็ขออภัยด้วย และใครมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมก็โปรดแบ่งปันกันอย่างเต็มที่ สุดท้าย แม้ว่าจะทำอะไรเกินเลยเป้าหมายแรกเริ่มไปบ้าง แต่ก็อยากจะจบด้วยบทสรุปสั้นๆอย่างที่เคยใช้เมื่อคราวเขียนพารากราฟเฉิ่มๆว่า “โปรดอย่าลืมว่าทุกผู้ดูแลจะต้องถูกสอบสวนเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในการดูแลของเขา แน่นอนว่าผู้ดูแลเว็บก็จะต้องถูกสอบสวนเกี่ยวกับสิ่งที่เขาดูแลเช่นกัน ฉะนั้นจะให้สิ่งใดปรากฏอยู่ในเว็บของท่านก็อย่าลืมถามตัวเองด้วยว่าพร้อมหรือเปล่าที่จะนำมันไปตอบคำถามต่อหน้าอัลลอฮฺ?”