เรื่องที่อยากให้คิดให้หนักๆ

 

 

 

เป็นเรื่องช่วยไม่ได้สำหรับคนที่เลือกเรียนคณะทางภาษา ที่จะต้องโดนบังคับเรียนภาษาอังกฤษหลายตัวอยู่ ถึงแม้ว่าสาขาวิชาที่คุณเลือกเรียนในคณะนั้นๆจะเป็นภาษาโปรตุเกสหรือบรรณารักษ์ก็ตาม  ในฐานะคนที่เคยผ่านเรื่องช่วยไม่ได้เช่นนั้นมาอย่างพะอืดพะอมเล็กน้อย ต้องบอกว่าเนื้อหาในบรรดาวิชาบังคับเหล่านั้นได้ปะปนกันในความทรงจำจนลืมๆไปแล้วว่าอันไหนเป็นอันไหน แต่พอจะจำได้ว่ามีที่เกี่ยวกับการเขียน(Writing)อยู่ด้วย  ดูเหมือนมันจะเป็นส่วนเสริมของวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานมากกว่าจะเป็นชื่อวิชาที่เน้นเรื่องนี้ล้วนๆ(ที่เป็นชื่อวิชาแบบเรียนเจาะเฉพาะการเขียนเลยก็มี แต่ไม่ได้และไม่เคยคิดจะลงเรียน)เนื้อหาเท่าที่จำได้ก็จะแบ่งออกเป็นพารากราฟลักษณะต่างๆ ให้ผู้เรียนได้ลงมือเขียนจริง และพารากราฟแบบหนึ่งที่ได้เรียนคือพารากราฟที่เขียนขึ้นเพื่อโน้มน้าวจิตใจผู้อ่าน (Persuasive Paragraph)

 

เนื่องจากถนัดนักในด้านแกรมมั่ว(ญาติห่างๆของแกรมม่า) และตระหนักในคุณสมบัติข้อนี้ของตนดี วิธีเขียนที่ใช้จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างบ้านๆ ซื่อใส ตรงไปตรงมา พยายามหลีกเลี่ยงแกรมม่าที่วิลิศมาหรา เพราะเจียมตนว่าเราเป็นแค่ญาติห่างๆกัน   งานที่ออกมาจึงมักคล้ายเด็กหัดเขียนเรียงความภาษาไทย  คือขึ้นต้นด้วยประโยคเมนไอเดียที่ต้องการเรียกร้องให้ผู้อ่านกระทำ ตามด้วยการยกเหตุผล3-4ข้อเพื่อสนับสนุนให้คนอ่านคล้อยตาม ปิดท้ายด้วยบทสรุปสั้นๆ ไม่ได้มีลีลาและชั้นเชิงการเขียนอะไรมากมายเลย  นึกไปนึกมาแล้วก็อยากเขียนอะไรแบบนั้นในภาษาไทยบ้าง คือขึ้นมาด้วยประโยคที่อยากให้คนอ่านทำมันทื่อๆ ไม่ต้องเกริ่นต้องชักแม่น้ำทั้งห้า-หก-เจ็ดสายจนมันท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงไป  

 

และประโยคที่อยากจะใช้ขึ้นต้นแบบนั้นในเวลานี้ก็คือ คุณ(ๆ)ไม่ควรปล่อยให้ชีอะฮฺมาเผยแพร่อะกีดะฮฺ(อันสุดแสนจะฏอลาละฮฺ)ของพวกเขาได้อย่างอิสระในเว็บไซต์ของคุณ(ๆ)

 

มันเป็นประโยคทื่อๆที่คิดออกหลังจากเข้าไปเยี่ยมชมเว็บบอร์ดมุสลิมบางแห่ง ที่จริงความรุนแรงของความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ปรากฏนั้น มันควรจะเหมาะกับประโยคที่ดุเดือดมากกว่านี้ แต่คิด(และเชื่อ)ว่ามีพี่น้องจำนวนไม่น้อยได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างดุเดือดกับสิ่งที่ปรากฏนั่นไปแล้วทั้งโดยสาธารณะและโดยส่วนตัวกับผู้ดูแลพื้นที่ตรงนั้น จึงขอขึ้นต้นเฉิ่มๆแบบเพอร์ซูเอซีฟพารากราฟที่เคยเขียนก็แล้วกัน

 

มีเหตุผลสามสี่ข้อสำหรับข้อเรียกร้องดังกล่าวที่ต้องขออธิบายให้เกินไปกว่าความเป็นพารากราฟ

 

อย่างแรกที่พยายามคิดก่อนจะหาเหตุผลสนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าว คือคำถามที่ว่า พี่น้องมุสลิมที่ยอมให้ชีอะฮฺมีพื้นที่นำเสนอแนวทางของพวกเขาในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน ใช้เหตุผลหรือชุดความคิดอะไรในการยินยอมที่แสนจะสุ่มเสี่ยงนี้? คงจะต้องขอตอบคำถามนี้บนพื้นฐานที่เชื่อว่าพี่น้องไม่ได้เห็นด้วยอยู่แล้วกับแนวทางและความเชื่อของชีอะฮฺ  เพราะมิฉะนั้นก็คงจะถือเป็นการยัดเยียดข้อหาฉกาจฉกรรจ์ให้พี่น้องเลยทีเดียว

 

นึกคำตอบออก 2 อย่างสำหรับคำถามข้างต้น คือ ๑-ความไม่มีเวลาของคนดูแลเว็บที่จะสอดส่องตรวจตราลายระเอียดในเว็บไซต์ได้อย่างทั่วถึง  กับ  ๒- เป็นเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับคำว่าเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งจะเกี่ยวโยงกับชุดความคิดประมาณว่า การเปิดพื้นที่ให้มีการโต้แย้งกันระหว่างซุนนะฮฺกับชีอะฮฺก็เท่ากับเป็นการเปิดพื้นที่ให้สัจธรรมได้โต้แย้งกับความเท็จ ในเมื่อซุนนะฮฺเป็นหนทางที่ถูกต้องจริง จะกลัวอะไร  

 

สำหรับคำตอบข้อที่๑ ซึ่งเกี่ยวกับความบกพร่องในอมานะฮฺของผู้ดูแลนั้น คงจะไม่พูดถึง เพราะนอกจากทางแก้จะเป็นเรื่องที่ต้องใช้การนะซีฮะฮฺส่วนบุคคลมากกว่าการถกอภิปรายสาธารณะแล้ว หลายคนคงคิดตรงกันว่ามันไม่น่าจะใช่เหตุผล เพราะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ลักษณะของการเร้นรอดจากการตรวจตรามาสองสามหัวข้อ แต่มันมาแบบยกแผงชนิดที่ควรจะพูดว่าไม่ได้ตรวจตราเลยมากกว่าตรวจตราไม่ทั่ว

 

สำหรับคำตอบข้อที่ ๒ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกนั้น คือประเด็นที่อยากพูดถึง เพราะมีข้อเห็นแย้งนิดหน่อยสำหรับชุดความคิดนี้

 

อย่างแรกสุด เราต้องเข้าใจก่อนว่าชีอะฮฺไม่เหมือนศัตรูอิสลามรายอื่นๆ และระหว่างชีอะฮฺกับซุนนะฮฺก็ไม่ใช่คู่ขัดแย้งแบบที่จะเอาความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายในกรณีอื่นๆมาเปรียบเทียบได้(ฉะนั้นจึงไม่ควรยกตัวอย่างการถกกันระหว่างคู่ความขัดแย้งอื่นๆมาเป็นข้อสนับสนุนว่าควรมีพื้นที่สาธารณะให้ชีอะฮฺได้นำเสนอแนวคิดของตัวเองบ้าง)  ข้อสำคัญที่สุดคือชีอะฮฺด่าทอภรรยาท่านนบีและบรรดาซอฮาบะฮฺ ซึ่งกาฟิรส่วนใหญ่ไม่ได้ทำ(เป็นเหตุผลว่าทำไมเราอาจเสวนาอย่างสันติกับกาฟิรบางคนได้ แต่ไม่อาจทำเช่นนั้นกับชีอะฮฺได้) ฉะนั้นเหตุผลที่ใช้มันก็เหมือนกับการที่บอกว่า เราต้องเปิดโอกาสให้คนที่ด่าพ่อล่อแม่เราได้มีพื้นที่นำเสนอแนวคิดที่นำไปสู่การด่าพ่อล่อแม่เราบ้าง  ถ้าพ่อแม่เราเป็นคนดีอยู่แล้ว จะกลัวอะไร!

 

คุณสมบัติประการสำคัญอีกอย่างของชีอะฮฺที่ทำให้เหตุผลข้อนี้ไม่อาจพิสูจน์ตัวเองได้ ก็คือความเป็นจอมโกหก เป็นอัล-กัซซาบ เป็นไลเออร์ (ไม่รู้จะหาภาษาไหนมานิยามแล้ว) ของชีอะฮฺ  อันเป็นคุณสมบัติที่อยู่ในอะกีดะฮฺของพวกเขาจนเราไม่ต้องตั้งข้อสงสัยอีก เอาล่ะ ถ้าจะพูดเกี่ยวกับแนวคิดในการเปิดพื้นที่สานเสวนาเพื่อทำความเข้าใจ หรืออะไรเทือกๆนั้น  คนที่พูดแนวคิดนี้คงจะทราบดีว่า การจะเสวนา จะถกกันในเรื่องแนวคิดที่ต่างกันให้เกิดประโยชน์ได้นั้น คู่สนทนาจะต้องเริ่มต้นจากความไว้เนื่อเชื่อใจกันอย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง(อันนี้นอกเรื่องหน่อย – ไม่แน่ใจว่าการสานเสวนาที่พูดถึงกันในหมู่มุสลิมเรามีจุดเริ่มมาจากทฤษฎีของใครเป็นการเฉพาะรึเปล่า แต่ในการศึกษาสากล การสานเสวนา(Dialogue)นี่มาจากแนวคิดของเดวิด โบห์ม(David Bohm) ซึ่งเป็นยิว) และต้องมีสัจจะในสิ่งที่ตนนำเสนอ(อันเป็นคุณสมบัติทั่วไปของปุถุชนที่ดี แย่ตรงที่มันไม่มีในชีอะฮฺ) ซึ่งมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยกับคู่สนทนาที่คุณรู้อยู่แก่ใจว่าความเชื่อของเขานั้นสามารถจะโกหกพกลมอย่างไรก็ได้ ฉะนั้นการเปิดพื้นที่นี้จึงเปล่าประโยชน์อย่างแทบจะสิ้นเชิง หากคุณหวังจะทำให้เกิดความกระจ่างในแนวคิดของแต่ละฝ่าย

 

นั่นคือข้อเห็นแย้งสำหรับเหตุผลที่คิด(เอาเอง)ว่าพี่น้องที่ให้พื้นที่ชีอะฮฺนำเสนอความคิดความเชื่อของพวกเขาน่าจะใช้อธิบายการยินยอมของตน ต่อไปก็คงจะพูดถึงเหตุผลที่คิดว่าไม่ควรเปิดพื้นที่ดังกล่าวให้ชีอะฮฺ ซึ่งคงจะพูดถึงอย่างสั้นๆ เพราะมันชักจะเลยความเป็นพารากราฟมากเกินไปแล้ว

 

คุณ(ๆ)ไม่ควรปล่อยให้ชีอะฮฺมาเผยแพร่อะกีดะฮฺ(อันสุดแสนจะฏอลาละฮฺ)ของพวกเขาได้อย่างอิสระในเว็บไซต์ของคุณ(ๆ) เพราะ…

           เว็บไซต์ของคุณซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะนั้น มีโอกาสที่จะเข้าถึงได้โดยคนประมาณ1,500 ล้านคน อันเป็นตัวเลขของคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งโลก หรือถ้าจะเอาเฉพาะในไทยก็ราวๆ 17 ล้านคน ในจำนวนนี้ คุณไม่อาจรู้เลยว่าสักกี่คนที่เข้าใจแก่นแห่งความฎอลาละฮฺของชีอะฮฺในระดับที่พอจะเอาตัวรอดจากข้อมูลของจอมโกหกพลิกแพลงตัวแม่อย่างชีอะฮฺได้ มันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสมากนะ ถ้าพื้นที่ในความรับผิดชอบของเรา(ซึ่งแปะหน้าหราว่าอิสลาม,มุสลิม ฯลฯ)จะต้องมีส่วนในการนำเสนอความหลงผิดเหล่านั้น  ถ้ามันจำเป็นจะต้องเปิดจริงๆล่ะก็นะ ควรจะเปิดเป็นห้องเฉพาะกิจที่สแกนคนเข้าร่วมได้ และมีผู้รู้ฝ่ายซุนนะฮฺประจำการคอยถกอิปรายโต้กลับด้วย

 

           ความสกปรกของชีอะฮฺนั้นจะนำความไม่มีบะรอกะฮฺไปยังทุกๆที่ที่พวกเขาผ่านไป นี่พูดจากประสบการณ์ตรงหลายๆเรื่อง รวมทั้งจากเว็บไซต์มุสลิมที่เปิดพื้นที่ให้ชีอะฮฺนั่นแหละด้วย  การให้พื้นที่เขาสำหรับถกอภิปรายอะไรๆที่อาจพูดในทางทฤษฎีได้ว่าจะเกิดประโยชน์อย่างโน้นอย่างนี้ สุดท้ายเราก็เห็นๆกันอยู่ว่าที่อภิปรายกันส่วนมากนั้น เป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์ หรือโทษกันแน่ เป็นเรื่องที่นำไปสู่บรรยากาศแห่งอิสลาม หรือตรงกันข้าม หากมองในมุมการดะอฺวะฮฺ(ซึ่งก็มีคนใช้อ้างอยู่เหมือนกัน) ว่าคนที่กำลังศึกษาจะได้รู้ข้อมูลทั้งสองด้าน ก็ไม่น่าจะเป็นการเกินไปถ้าจะบอกว่าสิ่งที่พื้นที่ที่คุณเปิดจะมอบให้แก่คนเป็นกลางที่ยังไม่รู้อะไร  ไม่ใช่การเลือกข้างใดข้างหนึ่งหรอก แต่เขาจะไม่เอาทั้งสองข้างนั่นแหละ เพราะหลายๆครั้งการนำเสนอของตัวบุคคลได้นำไปสู่บรรยากาศที่น่าสลดใจและชวนให้เตลิดไกลเป็นอย่างยิ่ง (ทั้งที่จริงแล้ว การโต้ตอบกับชีอะฮฺก็อาจต้องใช้ความดุเดือดบ้างนั่นแหละ แต่เมื่อคนที่รับชมเป็นคนที่ไม่เข้าใจมาก่อน ก็ไม่แปลกถ้าเขาจะยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่  ฉะนั้น มันก็จะนำไปสู่ข้อเสนอเดิมในข้อที่แล้วว่าให้เปิดห้องเฉพาะกิจ (ถ้าอยากจะเปิดนักน่ะนะ) ที่ไม่อาจเข้าถึงได้โดยคนทั่วๆไป)

 

           ถ้าคุณเป็นหนึ่งในผู้ดูแลเว็บไซต์ที่เปิดพื้นที่ให้ชีอะฮฺแสดงตัวและความเชื่อของพวกเขา ลองประเมินตัวเองดูเถิดว่าการตัดสินใจเช่นนั้นนำสิ่งใดมาสู่ตัวคุณและเว็บไซต์ของคุณบ้าง  บรรยากาศต่างๆในเว็บของคุณดีขึ้นหรือเลวลงจากช่วงเวลาก่อนหน้า  และพี่น้องมุสลิมทั่วไปคิดกับเว็บไซต์ของคุณอย่างไรในปัจจุบัน  หลายๆครั้งความตกต่ำของเราก็ควรเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลับมาตรวจสอบตัวเองว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า โดยเฉพาะความผิดพลาดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของอัลลอฮฺ…มิใช่หรือ?

 

 

ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนเพอร์ซูเอซีฟพารากราฟแบบเด็กประถม แต่ไปๆมาๆทำไมมันออกมาอย่างนี้ก็ไม่ทราบ เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรล่วงเกินพี่น้องท่านใดไปก็ขออภัยด้วย และใครมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมก็โปรดแบ่งปันกันอย่างเต็มที่  สุดท้าย แม้ว่าจะทำอะไรเกินเลยเป้าหมายแรกเริ่มไปบ้าง แต่ก็อยากจะจบด้วยบทสรุปสั้นๆอย่างที่เคยใช้เมื่อคราวเขียนพารากราฟเฉิ่มๆว่า โปรดอย่าลืมว่าทุกผู้ดูแลจะต้องถูกสอบสวนเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในการดูแลของเขา แน่นอนว่าผู้ดูแลเว็บก็จะต้องถูกสอบสวนเกี่ยวกับสิ่งที่เขาดูแลเช่นกัน  ฉะนั้นจะให้สิ่งใดปรากฏอยู่ในเว็บของท่านก็อย่าลืมถามตัวเองด้วยว่าพร้อมหรือเปล่าที่จะนำมันไปตอบคำถามต่อหน้าอัลลอฮฺ?

 

 

 

แนวรบแห่งบททดสอบ : หน้าคีย์บอร์ดถึงหลังลูกกรง

 

เชื่อว่าคนที่มีกิจธุระ(ไม่ว่าของจริงหรือข้ออ้าง)หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เนืองๆอย่างเราๆ คงจะมีเว็บไซต์ขาประจำที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวอยู่เสมออย่างน้อยก็สักสองสามเว็บ  ฉันเองก็มีเว็บไซต์ขาประจำกับเขาเหมือนกัน ทั้งเว็บที่ต้องคลิกเข้ามาก่อนเสมอหากต่ออินเตอร์เน็ต และเว็บที่ติดตามความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับต้องคอยตามดูเสียทุกวันและทุกครั้งที่ใช้อินเตอร์เน็ต ประเภทหลังนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นบล็อกส่วนตัวของพี่น้องหลายๆคน ทั้งด้วยความสนิทสนมส่วนตัวที่ทำให้ต้องติดตามและด้วยความสนใจในแนวทางของบล็อกนั้นๆเป็นกรณีพิเศษ ในบรรดาบล็อกเหล่านั้น ก็มีบล็อกของพี่น้องต่างประเทศอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ส่วนมากมักจะไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิดนัก  ที่พอจะกล่าวได้ว่าตามอ่านอยู่อย่างสม่ำเสมอน่าจะมีสักสี่ซ้าห้าบล็อกเท่านั้น ใจหายชะมัดที่รู้ว่าหนึ่งในบล็อกเกอร์สี่ซ้าห้ารายนั้นเพิ่งจะถูกจับกุมข้อหาให้การสนับสนุนการก่อการร้าย

 

ที่จริง การถูกจับกุมครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับบล็อกเกอร์คนนี้ เมื่อปลายปีที่แล้วเขาก็เคยถูกจับกุมด้วยข้อหาลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ถูกคุมขังอยู่ราวๆสองสัปดาห์ศาลก็พิจารณาให้ประกันตัวออกมา ตอนนั้นเป็นช่วงเดียวกับที่มีการปิดบล็อกระลอกใหญ่ของผู้ให้บริการบล็อกบางเจ้า ฉันสนใจกรณีแบบนี้จนอยากจะเขียนถึง(และก็รู้สึกจะเขียนถึงไปแล้วด้วยในหัวข้อญิฮาดิสบล็อกเกอร์ซึ่งน่าจะอยู่ในบทความเกี่ยวกับพันธกิจของบล็อกเกอร์มุสลิม)  ต่อมาไม่กี่เดือนมีการปิดบล็อกมุสลิมอีกระลอก และดูเหมือนจะเป็นระลอกที่ใหญ่กว่าเดิมเสียอีก คราวนี้พี่ไทยก็โดนด้วย  บล็อกที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการญิฮาดหลายบล็อกของพี่น้องที่นี่ถูกปิดเหี้ยนเต้  มันยิ่งมีอะไรน่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก  ฉันจดๆจ้องๆจะเขียนถึงเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ได้เพียงร่างๆหัวข้อไว้ จนกระทั่งมาเกิดกรณีบล็อกเกอร์สัญชาติอเมริกันคนนี้ถูกจับเลยได้โอกาสโผล่มาแตะเรื่องนี้อย่างอ้อมๆเสียหน่อย เพราะมันเป็นกรณีที่ค่อนข้างได้รับความสนใจพอสมควรจากสังคมอินเตอร์เน็ตที่ใช้ภาษาอังกฤษ ที่บอกว่าอย่างอ้อมๆเพราะคงจะไม่พูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นการถกกันเรื่องญิฮาดและสถานการณ์โลก(อันเป็นประเด็นที่อยากพูดถึงมาตั้งนาน) แต่คงจะแค่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเคสพี่น้องท่านนี้เท่าที่พอจะมีอยู่ เพราะคิดว่าน่าสนใจ และใครที่สนใจก็น่าจะไปเจาะหารายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งก็คงจะได้พบอะไรที่น่าสนใจอีกพอสมควร

 

บล็อกเกอร์ที่ถูกจับกุมครั้งนี้ชื่อ ฏอริก เมฮันนา อายุ27ปี เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอียิปต์ บล็อกของเขาค่อนข้างเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และในความคิดฉันมันค่อนข้างชัดเจนแจ่มแจ๋วในคุณประโยชน์มหึมามหาศาล หากพิจารณาเฉพาะเนื้อหาบล็อกมันแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย(แม้ในความหมายของสหรัฐอเมริกาเอง)เลย บล็อกของเขามีแนวทางนำเสนอที่ค่อนข้างชัดเจนคือเลือกแปลบางช่วงบางตอนจากหนังสือและตำราภาษาอาหรับของอุละมาอฺต่างๆมาเป็นภาษาอังกฤษ  เอาเถอะ ถึงแม้ข้อหาที่ทำให้เขาถูกจับกุมจะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของบล็อก แต่มันก็เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตอยู่บ้าง เพราะเขาถูกจับด้วยข้อหาสนับสนุนการก่อการร้ายโดยการเผยแพร่วีดีโอและข้อมูลต่างๆที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา (รายละเอียดเกี่ยวกับความบ่ะซั๊วของข้อหานี้มีอยู่ในลิ้งค์ต่างๆที่แนบไว้ข้างล่าง) ซึ่งมันก็มีบทเรียนและข้อฉุกคิดอะไรหลายอย่างหากมองให้ลึกลงไป 

 

นอกจากทำบล็อกแล้ว พี่น้องท่านนี้ยังเป็นที่รู้จักพอสมควรในสังคมเว็บบอร์ดมุสลิมที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นแกน เขาเป็นที่รู้จักในเว็บบอร์ดและในการแปลงานหนังสือจำนวนหนึ่งภายใต้นามปากกา “อบู สะบายา” (หนังสือเกือบทั้งหมดเป็นไฟล์พีดีเอฟที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทางอินเตอร์เน็ต) ตอนนี้ก็มีพี่น้องจัดทำแคมเปญเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของเขา โดยศาลนัดไต่สวนคดีของเขานัดแรกในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้(ถ้าไม่เลื่อนอีก) และหากเขาถูกพิจารณาว่ามีความผิดจริงก็ต้องได้รับโทษจำคุก ซึ่งบางแหล่งข่าวบอกว่าโทษสูงสุดคือ 15 ปี ขณะที่บางแหล่งข่าวบอกว่าตลอดชีวิต

 

ส่วนตัวคิดว่ากรณีการถูกจับกุมของพี่น้องท่านนี้มีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ ใครที่ได้ติดตามงานของเขาอยู่เสมอก็น่าจะพอมองออกเหมือนกัน  นอกจากความห่วงใยในฐานะพี่น้องมุสลิมที่ย่อมต้องพยายามหาทางช่วยเหลือบรรเทาความเดือนร้อนของพี่น้องอย่างสุดความสามารถอันเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คิดอยากมีส่วนในการนำเสนอและเผยแพร่เรื่องนี้ให้พวกเราที่นี้แล้ว ก็ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่พี่น้องถ้าได้รับทราบและคิดใคร่ครวญ  หนึ่งในอะไรหลายๆอย่างนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับการที่ใครหลายๆคนเริ่มเรียกอินเตอร์เน็ตว่าแนวรบใหม่ของประชาชาติเราก็เป็นได้!

 

………………………………………………………………….

 

แหล่งข้อมูลที่น่าสนใจ

 

– บล็อกส่วนตัวของฏอริก เมฮันนา

http://iskandrani.wordpress.com/

 

– หนังสือที่ฏอริก เมฮันนาได้แปลจากอาหรับเป็นอังกฤษไว้

http://iskandrani.wordpress.com/category/books-pdfs/

 

– รายงานข่าวเกี่ยวกับการจับกุมฏอริก เมฮันนาเมื่อปลายตุลาคมที่ผ่านมา

http://www.cnn.com/2009/CRIME/10/21/terrorism.probe/index.html?iref=newssearch

 

– กระทู้ตามข่าวการถูกจับกุมของฏอริกที่เปิดมาตั้งแต่ตอนถูกจับกุมครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว และยังคงมีการโพสโต้-ตอบอยู่จนถึงวันนี้ ในกระทู้มีการพูดคุยและให้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายเรื่อง

http://forums.islamicawakening.com/f18/desperate-any-results-feds-arrest-us-citizen-two-year-old-charges-18340/

 

– แคมเปญ “Free Tarek Mehanna” พร้อมรายงานข่าวอัพเดตสถานการณ์ล่าสุด

http://www.freetarek.com/

http://www.facebook.com/group.php?gid=159128188381&v=app_2373072738&ref=mf

 

** อันนี้แถม เป็นจดหมายที่ฏอริกได้เขียนตอบพี่น้องขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำครั้งก่อน(ปลายปี2008)ฉบับแปลไทย  ที่จริงคิดจะแปลตั้งแต่ตอนที่อ่านครั้งกะโน้น  แต่เพิ่งสบโอกาสได้แปลคราวนี้เอง คิดว่าน่าจะแสดงให้เห็นตัวตนและความคิดของเขาได้ในระดับหนึ่ง

http://cid-d617f13b3c05ce2f.skydrive.live.com/browse.aspx/Br.%20Tariq%20Mehanna%5E4s%20Letter%20from%20Prison?nl=1&uc=1&isFromRichUpload=1

 

 

اللهم فك عن أخينا وثبت قلبه وأعظم أجره

اللهم أجعل له فرجاً ومخرجاً

اللهم فك قيد أسرانا وأسرى المسلمين

 اللهم فرج عن إخواننا المستضعفين في كل مكان يا أرحم الراحمين