– มะ ลิ ข อ ง ชี วิ ต –

jasmine


(บทความนี้ได้รับแรงสะเทือนใจ เอ้ย บันดาลใจมาจากบทความ “มะระของชีวิต” ในหนังสือรวมบทความ อย่าท้อถอยสร้อยเศร้าเลยเจ้าเอย ฉบับพิมพ์ครั้งที่๑ มกราคม ๒๕๕๕)

…………………..


นอกจากเป็นตัวแทนของวันแม่แห่งบางชาติ และตัวตายในหมู่พวงมาลัยตามสี่แยกแล้ว ดอกมะลิยังเป็นที่คุ้นเคยของผองเราชนิดที่หากให้ช่วยกันนึกชื่อดอกไม้ที่รู้จักมาสักห้าชนิด เชื่อว่าเจ้าดอกขาวๆ หอมหนาวๆ ที่ชื่อว่ามะลิจะต้องติดท็อปลิสต์ของใครหลายคนเป็นแน่


แต่ทั้งที่คุ้นกับชื่อมะลิมากถึงแค่นั้น และก็ยอมรับในการเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงบางสิ่งที่ละมุนละไมและแสนบริสุทธิ์ของดอกไม้ชนิดนี้ แต่สักกี่คนกันที่ยังมีมะลิอยู่ในชีวิต

สักกี่คนที่มีมะลิอยู่ในสวนเล็กๆ หลังบ้าน เพื่อจะสูดหายใจเฮือกโตเอากลิ่นหอมเย็นเข้าไปเซ่นปอดเขรอะควันรถ


สักกี่คนที่ยังดื่มน้ำฉ่ำจากขันเงินที่มีดอกมะลิเล็กๆ ลอยหน้ายิ้มเฉ่งอยู่เหนือผิวน้ำส่งความหอมหวนอวลไอไปทั้งจมูกปากเมื่อดื่มทาน


เปล่า – ไม่ได้จะชวนกันให้หันมาสนใจดอกมะลิ และไม่ได้กำลังทำธุรกิจขายดอกไม้อยู่แต่อย่างใด เราไม่จำเป็นต้องมีมะลิในสวนหลังบ้าน และเกือบไร้สาระถ้าจะหมกหมุ่นอยู่กับการควานหาน้ำลอยดอกมะลิมาดื่ม เพียงแต่กำลังพูดถึงมะลิในฐานะตัวอย่างบางความรู้สึกดีๆ บางความสุขเล็กๆ ที่เคยหาง่ายและใกล้ตัวแต่ถูกพรากไปโดยยุคสมัยอันวิ่งเร็วจี๋ที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่


นึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยอ่าน เขาบรรยายความรู้สึกของตัวละครตัวหนึ่งที่เคยพิศมัยเครื่องสำอางค์อันพอกหนาอยู่บนใบหน้าของประดาหญิงสาว กระทั่งครั้งหนึ่งตัวละครนี้ได้พบเด็กสาวซึ่งใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางค์ทุกรูขุมขนหลุดเข้ามาในโคจรของประดาหญิงสาวหน้าหลากสีโดยบังเอิญ พลันนั้นตัวละครดังกล่าวก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในร้านดอกไม้ประดิษฐ์ที่สีสันสวยสดลานตา แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นดอกมะลิของจริงแท้ดอกหนึ่งซ่อนตัวอยู่ สีสันของมันขาวซื่อเกือบจืดชืดเมื่อเทียบกับสีสดของดอกไม้รอบข้าง ทว่ากลับให้ความรู้สึกละมุนละไมอย่างที่ดอกไม้สีสวยอื่นๆ ให้ไม่ได้


นั่นก็เพราะมันคือของจริง!


ชีวิตของเรามีมะลิอยู่หลายดอก หอมเชยๆ แต่ก็รู้สึกดีชะมัด และถ้าจะเอามะระเป็นตัวแทนเรื่องขมๆ ของชีวิตที่สมควรแก่การอดทนจนเอร็ดอร่อยแล้ว มะลิก็น่าจะแทนได้กับความเมตตาของอัลลอฮฺในชีวิตของเราที่สมควรแก่การขอบคุณให้สาแก่ใจ แม้จะเป็นเพียงแค่อะไรเล็กน้อยที่เราแทบจะมองผ่านเลย


ดอกมะลิในชีวิตเราอาจอยู่ในบ้านหลังเล็กที่อบอุ่น อวัยวะสมบูรณ์เปี่ยมเรี่ยวแรง หรือใครสักคนที่อยู่ด้วยแล้วแสนสบายใจ


กระทั่งในลมหายใจที่เฮือกไหลเข้าปอดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น…แท้จริงแล้วก็อวลกลิ่นดอกมะลิให้ได้ขอบคุณไม่รู้จบ


สำหรับผู้ศรัทธา…อะไรๆ ในชีวิตก็ดูช่างน่าอิจฉาไปเสียทั้งหมด
ถ้าในสำรับของชีวิตเขาวันนี้มีมะระขมปี๋ เขาก็รับประทานมันได้อย่างเอร็อดอร่อยด้วยความอดรดอรรอดทน
ถ้าในสำรับของชีวิตเขาวันนี้มีขันใส่น้ำลอยดอกมะลิหอมเย็น เขาก็รินซดมันได้อย่างชื่นใจด้วยการขอบคุณ


จะมะลิหรือมะระ…ก็แสนซือดะได้ด้วยศรัทธา
ซุบฮานัลลอฮฺ


…..


عَجَبًا لأَمْرِ المؤمنِ
إِنَّ أمْرَه كُلَّهُ لهُ خَيرٌ
ليسَ ذلكَ لأَحَدٍ إلا للمُؤْمنِ
إِنْ أصَابتهُ سَرَّاءُ شَكَرَ فكانتْ خَيرًا لهُ
وإنْ أصَابتهُ ضَرَّاءُ صَبرَ فكانتْ خَيرًا لهُ


” น่าประหลาดจริงๆ สำหรับกิจการของผู้ศรัทธา
แท้จริง กิจการของเขาทั้งหมดล้วนเป็นความดีสำหรับเขา
ดังกล่าวนี้จะไม่เกิดกับใครเว้นแต่ผู้ศรัทธาเท่านั้น
(กล่าวคือ) หากความดีมาประสบกับเขา เขาก็ขอบคุณ ดังนั้นมันจึงนเป็นความดีสำหรับเขา
และหากความชั่วมาประสบกับเขา เขาก็อดทน ดังนั้นมันจึงเป็นความดีสำหรับเขาอีกเช่นกัน”
(บันทึกโดยมุสลิม)

– ม ะ ร ะ ข อ งชี วิ ต –

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

นานทีปีหน ที่บ้านเราจึงจะมีมะระอยู่ในสำรับอาหาร


สมาชิกบางคนของบ้านใช้ชีวิตบนโลกร่วมยี่สิบปีโดยที่กระเพาะอาหารไม่เคยรู้จักมะระ พูดได้เต็มปากล่ะว่าความคุ้นเคยต่อเจ้าพืชตัวยาวสีเขียวอ่อนนี้ ประการสำคัญก็มาจากบทเรียนสระอะของวิชาภาษาไทยตอนอนุบาลเป็นหลักใหญ่ใจความ


ใครๆ ก็พูดกันนักหนาว่ามะระมันขมปี๋ ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่เด็กๆ ผู้เป็นเพื่อนสนิทกับสารพัดลูกกวาดและขนมรสหวานจ๋อย จะประกาศตัวแข็งข้อ ไม่ขอเกี่ยวดองทางหลอดอาหารกับพืชที่สมญานามของมันระบือไกลขนาดนี้ เมื่อเด็กๆ เบือนหน้าหนีทุกทีไป ผู้ใหญ่ก็เลยไม่ค่อยนิยมนำมะระมาทำเป็นอาหารให้ละอ่อนกิน พวกเรากับมะระเลยไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าไหร่ทั้งที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักกันดีด้วยซ้ำ


แล้วก็เหมือนของขมๆ อีกสารพัดอย่างบนโลกนี้ ปรากฏว่ามะระมีประโยชน์ทางโภชนาการยาวเหยียดไม่ไหวจะสาธยาย พอโตมาหน่อย ถ้ามีโอกาสได้เข้าสำรับที่มีมะระอยู่ร่วม ผู้หลักผู้ใหญ่ก็จะเลคเชอร์ประโยชน์อลังการของพืชจอมขมเพื่อโน้มน้าวใจให้ผู้เยาว์ในวงกลั้นใจลองชิม แต่ว่าผู้ฟังรุ่นๆ สักกี่คนที่จะใส่ใจสุขภาพมากพอจะแลกกับความขมที่ใครๆ พากันเลื่องลือ


เอาล่ะ ยอมรับก็ได้ว่าสมาชิกในบ้านที่กระเพาะอาหารไม่เคยทักทายมะระนั่นน่ะคือตัวฉันเอง จำไม่แม่นนักว่าครั้งแรกที่ทั้งสองได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการนั้นมันช่วงไหนแน่ แต่ที่จำแม่นคือ มะระกลายเป็นเรื่องเซอร์ไพร์สเรื่องหนึ่งของชีวิต…มันไม่เห็นจะขมเหมือนที่ใครๆ เขาลือกันเลย  แกงจืดมะระยัดไส้ออกจะซือดะอูมามิ ไม่ใช่ว่ามันปราศจากความขมโดยสิ้นเชิงหรอกนะ แต่กลายเป็นว่า เมื่อปรุงดีๆ  ความขมนั่นแหละที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความอร่อยลึก


นึกๆ ไป ชีวิตเรามีมะระกันหลายผลเชียว มีเรื่องมากมายที่เรากลัวและกังวลไปก่อน เพียงเพราะเขาบอกต่อๆกันมา ทั้งที่ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเองเลย และก็ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องนั้นมันมีความดีงามอยู่ หากแต่เป็นความดีงามที่มาพร้อมกับข่าวลือความขมบางประเภทซึ่งทำให้เรานึกหวาดใจ จนพาลให้อยากหาทางหนีจากเรื่องนั้นๆ ไปโดยไม่ต้องเจอกันซึ่งๆ หน้า


ลึกลงไปกว่านั้น ทำไมเราต้องกลัวความขม? ชีวิตที่มีแต่รสหว๊านหวานมันเป็นชีวิตที่ชวนใฝ่ฝันจริงหรือ? เอาจริงๆ แล้วนอกจากจะเลี่ยนง่ายแล้ว ยังไม่ค่อยดีต่อสุขภาพอีกด้วย


ถ้าพูดถึง “รสชาติชีวิต” ตามคำที่ใคร ๆ มักเปรย ฉันชอบชีวิตที่มีรสขมอ่อน ๆ นะ มันอร่อยดี สนุกและตื่นเต้นออกด้วยที่จะกิน แต่ขอให้เป็นรสขมที่เกิดจากสิ่งทีเราเชื่อว่ามันมีค่าละกัน คือขอให้ได้แน่ใจว่าอะไรขม ๆ ที่ชีวิตกำลังเผชิญอยู่มันเป็นสิ่งที่มีค่าจริง ถ้าเราเอาชีวิตไปขมกับเรื่องชวนหน่ายของชาวดุนยาทั่วไป โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่มีประโยชน์โภคผลถาวรใด เช่นทำงานงก ๆ (ยิ่งทำยิ่งงก) สายตัวแทบขาด เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน เงิน และเงิน กระทั่งต้องละเลยอิบาดะฮฺหลักบางอย่างทั้งที่มันคือที่มาของปัจจัยยังชีพที่แท้จริง แบบนี้มันไม่ใช่ความขมของมะระ แต่เป็นความขมของขี้เถ้า ขมฟรี ๆ ไม่มีประโยชน์อะไร


และไม่ว่าจะชอบรสขมหรือไม่ ให้ยังไง ชีวิตของผู้ศรัทธาก็ต้องได้ลองลิ้มชิมรสมันแบบจัดหนักอยู่ดี เกือบจะเรียกได้ว่ามันเป็นเส้นทาง ใครที่ก้าวไปบนทางนี้ต้องเจอแหงแซะอยู่แล้ว รสขมปร่านี่ เพียงแต่จะขมในระดับใดและยาวนานแค่ไหนต่างหากที่อาจต่างกัน นั่นก็เพราะความหอมหวานที่รออยู่ในเส้นทางข้างหน้ามันเป็นของแพง เป็นความหวานหอมลึกล้ำ ไม่ใช่หวานเลี่ยน ๆ แบบที่เราอาจได้เคยพบในโลกนี้ เป็นหวานแบบที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยิน หัวใจไม่เคยสัมผัส และทุกเส้นประสาทไม่อาจจินตนาการถึง เป็นรางวัลชิ้นใหญ่ที่ราคาของมันไม่ใช่ถูก ๆ  ฝันเฟื่องแล้วไหมถ้าคิดว่าจะได้ความหวานแสนหวานนี้มาโดยที่ไม่ต้องแลกกับความขมใดเลย


ใช่แหละ บางทีความขมที่ได้ชิมมันก็ขมเข้มเสียจนขื่นคอ แต่ถ้าได้พิจารณาถึงรางวัลที่รออยู่แล้ว เชื่อว่าผู้ศรัทธาทุกคนจะชิมมันได้อย่างอดทน หรืออย่างเปรมปรีดิ์ด้วยซ้ำสำหรับบางคนที่อัลลอฮฺให้หัวใจเขารื่นรมย์พอ


แล้วหัวใจมันจะรื่นรมย์พอสำหรับลองลิ้มชิมความขมได้ด้วยเครื่องมืออื่นใดอีกเล่า นอกจากการได้เข้าหาผู้สร้างชีวิตเรามาอย่างหลากรสหลายสี อัลลอฮฺใจดีที่สุดเลย ทั้งที่ให้คุณค่ามหึมามากับความขมนี้แล้ว พระองค์ก็ยังให้ในความขมมันมีความหวาน มีความอร่อยล้ำอยู่ด้วย เมื่อเราประจักษ์ว่าไม่มีใครจะช่วยเราในรสขมที่กำลังกัดกินชีวิติอยู่ได้นอกจากอัลลอฮฺ ความขมขื่นสอนเราบทแล้วบทเล่าว่ามีแต่อัลลลอฮฺเท่านั้นจริงๆ ที่จะปัดเป่าทุกความทุกข์ยากให้พ้นไปได้ และการได้เอาความขมเข้าฟ้องร้องต่อพระองค์ ร้องไห้สะอึกสะอื้น บอกกับพระองค์ทุกสิ่งทุกเรื่องของหัวใจ นี่ต่างหาก…ความหวานที่แท้จริงของโลกที่ไม่มีอะไรจริงแท้ใบนี้


มะระของผู้ศรัทธาอาจขมเข้มกว่าคนทั่วไป เพราะประโยชน์ที่จะได้มันมหึมากว่ากันเยอะ แต่ขอให้ได้ลองละเลียดมันอย่างมีสติ อย่ากลัวไปก่อนที่จะได้ลงมือชิมเอง บางทีมันก็ไม่ได้ขมอย่างที่หวั่น และถึงขมจริงขมจัด บางทีความขมก็อร่อยกว่าที่เราคิด


ต่อหน้าคนอื่นเราอาจทำท่าเป็นผู้ใหญ่แสนสุขุมที่รับมือกับมะระสุดขมได้อย่างสงบเสงี่ยม แต่ต่อหน้าอัลลอฮฺ… มันอร่อยจริงๆ ที่เราจะได้เป็นเพียงเด็กเล็กๆ ที่บอกเล่าทุกความรู้สึกแห่งความขมให้พระองค์ฟัง


ต่อหน้าคนอื่นเราจะเป็นผู้ใหญ่แค่ไหนก็ได้ แต่ต่อหน้าอัลลอฮฺ…มันอร่อยจริงๆ ที่จะได้เป็นเด็กขี้แย ขี้ฟ้อง และขี้ขอเหลือรับ


…มันอร่อยเสียจนหากห่างหายกันไปหลายมื้อ เราก็อาจถึงกับต้องมองหาและรอคอยว่าเมื่อไหร่จะมีมะระโผล่เข้ามาในสำรับชีวิตอีกครั้ง !

………………………………….

(จากหนังสือรวมบทความ อย่าท้อถอยสร้อยเศร้าเลยเจ้าเอย ฉบับพิมพ์ครั้งที่๑ มกราคม ๒๕๕๕)