-๑-
ช่วงหนึ่ง ฉันเคยเปลี่ยนนามปากกาไปเรื่อย แทบจะหนึ่งนามปากกาต่อหนึ่งชิ้นงาน
ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความปลอดภัยทางใจอันเป็นเรื่องค่อนข้างซับซ้อนเกินอธิบาย
แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปกี่ครั้ง และไม่ว่าผลงานนั้นจะนำไปใช้ในสื่อที่ผิดคาดมากแค่ไหน
จะมีคนหนึ่งเสมอที่รู้ว่าเจ้าของนามปากกานั้นคือฉันเอง
ใช่แล้ว…ก็แม่นั่นแหละ จะใครอีก
แม่มักจะเริ่มต้นด้วยการเอาแหล่งที่พบชิ้นงานนั้นมาอ่านให้ฟัง แล้วถามว่า
“รู้จักเจ้าของนามปากกานี้ไหม”
แค่นั้น ก็เป็นอันว่ารู้กัน ไม่ต้องพูดอะไรอีก
-๒-
ภาพที่จำได้แม่นเป็นประจำทุกปีคือภาพที่เรา-ลูกๆ-เดินจับกลุ่มกันในงานสัปดาห์หนังสือตั้งแต่สมัยยังจัดที่คุรุสภา
มีแม่รั้งท้าย เพราะแม่จะแวะบูธที่สนใจนานมากเสมอ
เคยแอบคิดว่าที่จริงแม่แทบจะไม่ต้องซื้อหนังสือพวกนั้นแล้วด้วยซ้ำ เพราะอ่านไปครบทุกหน้าแล้ว
แต่ที่จริงคือแม่อ่านที่งานหนังสือ เพื่อจะเลือกมาให้ลูกอ่านที่บ้านต่างหาก
(ตอนเขียนนี่เพิ่งนึกออกว่าฉันก็ติดวิธีเลือกหนังสือมาจากแม่ (แต่เป็นเฉพาะหนังสือที่เลือกให้ลูก)
คือจะต้องอ่านเองก่อนทุกหน้า อย่างน้อยก็แบบผ่านๆ ถึงจะตัดสินใจซื้อ)
นอกจากกองหนังสือที่ได้กลับมาจากงานหนังสือในแต่ละปีแล้ว ฉันก็แทบนึกไม่ออกว่าเรายังมีกิจกรรมเกี่ยวกับหนังสืออะไรอีกที่ทำร่วมกัน
แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้หนังสือกลายเป็นส่วนประกอบหลักของบ้านเรา (แม้ว่าจะพยายามส่งออกปีละหลายๆลัง)
และเมื่อแม่ไม่ค่อยจะซื้อของเล่นอื่นให้ลูกๆสักเท่าไหร่ ทุกคนก็ไม่มีทางไหนให้หันหน้าเข้าหานอกจากชั้นหนังสือ
ในบรรดาพี่น้องเกือบโหล ฉันพบว่าทุกคนเป็นคนอ่านหนังสือ แตกต่างแนวกันบ้าง แต่ทุกคนอ่านหนังสือ
และ-ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่-หลายๆคน…ยังคงวนเวียนผูกพันอยู่กับงานหนังสือ
-๓-
ตอนตีพิมพ์หนังสือของตัวเองครั้งแรก
ฉันไม่ลังเลใจเลยว่าจะให้ใครเขียนคำนิยมให้
ก็อาจผิดระเบียบปฏิบัติของการเขียนคำนิยมทั่วไปอยู่สักหน่อย
ที่ผู้เขียนคำนิยมของฉันไม่ได้เป็นที่รู้จักของใครเลยนอกจากของคนเขียน
แต่ถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งดีที่สุดในการตัดสินใจพิมพ์งานของตัวเองครั้งนั้น
ก็บอกได้เลยว่าคือการตัดสินใจให้แม่เขียนคำนิยมให้นั่นแหละ
(จริงๆแล้วก่อนจะมีผลงานรวมเล่ม แม่เคยแอบเอางานที่ฉันเขียนเก็บไว้ไปถ่ายเอกสารให้เพื่อนๆของแม่อ่าน
ตอนนั้นฉันรู้สึกหงุดหงิดใจพอสมควร แม่เสียใจกับความหงุดหงิดนั้น และมันก็ทำให้ฉันรู้สึกผิดจนคิดได้ว่า ควรทำเฉยๆเสียกับการเป็นแม่ยกอย่างออกหน้าออกตาของแม่ คนอื่นจะคิดอย่างไรก็เอาเถอะ ถ้าแม่รู้สึกดีก็น่าจะพอ)
ในคำนิยมนั้น แม่เขียนเกริ่นเริ่มต้นไว้ว่า
“ได้ถูกขอให้เขียนคำนิยม ทั้งๆที่เป็นงานที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็รับทำ
อาจเป็นเพราะ…ได้มีโอกาสเห็นผู้เขียนมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก
…ได้เห็นพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย และจิตวิญญาณมาตั้งแต่เล็ก
…ได้เห็นความเป็นนักอ่านตัวยงตั้งแต่เริ่มเรียนอนุบาล
..ได้เห็นแววเป็นนักเขียนตั้งแต่อยู่มัธยม”
เหตุผลทั้ง ๔ ข้อนั้น แม่ได้บอกคนอ่านไปว่า ตัวแม่เองนั่นแหละคือผู้อยู่เบื้องหลัง
-๔-
ตอนนี้ ฉันมีโอกาสได้ดูแลสำนักพิมพ์น่ารักอยู่ ๒ แห่ง
ทั้ง ๒ แห่ง นั้นมีแม่เป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้น ทั้งในด้านกำลังใจและกำลังทรัพย์
ฉะนั้นวางใจได้ว่า เวลาที่ทำหนังสือ ฉันพยายามทำให้ดีที่สุดเสมอ เพราะนั่นคือผลงานที่ฉันทำให้แม่ด้วย (พื้นที่โฆษณา โปรดใช้วิจารญาณ 55)
ตอนที่แม่ยังอยู่ ทุกครั้งที่เริ่มทำหนังสือใหม่ ฉันจะเล่าให้แม่ฟังตลอด ถึงที่มา ความคืบหน้า และรายละเอียดต่างๆ
แม่อ่านหนังสือทุกเล่มที่ฉันทำ
ไม่ว่าจะทำในฐานะคนเขียน คนเรียบเรียง หรือบก. และแม่ก็จะวิจารณ์ตรงๆ ว่าชอบตรงไหน ไม่ชอบตรงไหน
ช่วงที่แม่พูดไม่ได้เพราะต้องใส่ท่อช่วยหายใจ อันเป็นช่วงท้ายๆ ของชีวิตแม่ แม่ต้องสื่อสารกับคนรอบข้างด้วยการเขียนใส่กระดาษ
ไม่นานมานี้ฉันรือสมุดที่แม่ใช้ในช่วงเวลานั้นขึ้นมาดูใหม่ และพบว่าในนั้นมีรายละเอียดที่แม่เขียนถามถึงหนังสือเล่มใหม่ที่ฉันกำลังทำอยู่ในตอนนั้น
บอกให้รู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับแม่
จริงๆ แล้วทุกเรื่องของลูกๆ ก็ดูจะเป็นเรือ่งสำคัญสำหรับแม่ไปทั้งหมดนั่นแหละ
-๕-
หลังจากแม่ไม่อยู่
ฉันเคยคิดว่าตัวเองคงกลับมาเขียนหนังสือใหม่อีกครั้งไม่ได้แล้ว
มีคนแนะนำว่าให้ลองเขียนเรื่องเกี่ยวกับแม่ดูสิ
เมื่อลองทำตามคำแนะนำนั้น…ปรากฏว่าพอไปได้
ทุกเรื่องที่ฉันอยากเล่าล้วนเป็นเรื่องของแม่ เกี่ยวกับแม่ วนเวียนอยู่รอบๆตัวแม่
แม่เคยบอกว่างานเขียนของฉันมีอิทธิพลต่อแม่
ที่จริงแล้วแม่ต่างหากที่มีอิทธิพลต่องานเขียนของฉัน
แม่เคยเป็นเหตุผลให้ฉันเขียนหนังสือ
แม้เมื่อไม่อยู่…แม่ก็ยังเป็นเหตุผลนั้นเสมอ
ขอบคุณอัลลลลอฮ์ที่ให้โลกนี้มีหนังสือ
ขอบคุณอัลลอฮ์ที่ให้โลกนี้มีแม่
……………………………………….
CR ภาพประกอบ | Internet