– ค น ข้ า ง ห ลั ง-





ในภาษาการเมือง เราจะเรียกคนที่ยืนข้างหลังนักการเมืองเวลาแถลงข่าวหรือให้สัมภาษณ์ว่า “วอลเปเปอร์” (Wallpaper) คนเหล่านี้ไม่มีหน้าที่อะไรมากไปกว่าหน้าที่ของวอลเปเปอร์ คือให้เพียงอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างแก่ผู้รับชมไม่ว่าจะในแง่ชื่นตาหรือขัดตา (สำหรับประเทศไทยดูจะเป็นอย่างหลังซะมาก) รวมทั้งสร้างภาพพจน์บางชนิดให้คนที่กำลังกล่าวอภิปรายเจื้อยแจ้วอยู่

เคยอ่านบทความชิ้นนึงเมื่อหลายเดือนก่อน เขาวิเคราะห์วอลเปเปอร์ของนักการเมืองไทยไว้น่ารักมาก ก็เหมือนกับวอลเปเปอร์ของบ้านและอาคารห้างร้าน หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์นั่นแหละ ที่นักการเมืองต้องเลือกสรรผู้จะมาเป็นวอลเปเปอร์ให้มีความเหมาะสม (ไม่ว่าเหมาะสมกับภาพพจน์บนโพเดียม หรือกับการเจรจาใต้โต๊ะ) พูดเฉพาะในด้านภาพลักษณ์ที่ปรากฏ มีการวิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยาด้วยซ้ำว่าการเอาใครมายืนเบื้องหลังนั้นจะส่งผลอย่างไรบ้างต่อคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าในสายตาผู้ชม วิเคราะห์กันไปตั้งแต่ลักษณะรูปร่าง จนถึงสีหน้าและแววตาของวอลเปเปอร์แต่ละคนทีเดียว โดยยกกรณีศึกษาของผู้นำประเทศไทยแต่ละยุคมาประกอบซะด้วยแน่ะ (อ่านจากสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ได้ตัดเก็บไว้ และตามหาไม่เจอแล้ว)

ขอจบเรื่องวอลเปเปอร์ (ซึ่งยังไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนถึงทำไม) แล้วเริ่มเรื่อง “คนข้างหลัง” อันเป็นเมนไอเดียของบทความนี้ดีกว่าเนอะ…หมายถึงคนที่อยู่เบื้องหลังของมนุษย์แต่ละชีวิตซึ่งมีบทบาทมากกว่าการดำรงอยู่ของวอลเปเปอร์แน่นอน

มนุษย์ทุกคนมีคนข้างหลังของตน ไม่ซิ น่าจะกล่าวได้ว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างนั่นแหละ…มีสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องหลังของมัน คือสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตย่อมเกิดมาจากสิ่งมีชีวิตอีกบางชีวิตและมีความโยงใยกันในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เอาล่ะ เพื่อจะไม่เป็นการแสดงภูมิไม่รู้ทางวิทยาศาสตร์ของผู้เขียนมากเกินไป เราจะปล่อยเรื่องชีววิทยาไว้ตรงนี้ แล้วเจาะไปที่ชีวิตมนุษย์เป็นการเฉพาะแล้วกัน

ส่วนตัวมองว่าความผูกพันระหว่างมนุษย์คนหนึ่งกับมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลังเขา ไม่ว่าจะผูกพันกันโดยสายเลือด สายเชือก สายใจ หรือสายใดก็ตาม มันเป็นเรื่องซับซ้อนและลึกซึ้งเรื่องหนึ่งในการทำความเข้าใจชีวิต การพยายามมองไปให้ถึงคนที่อยู่เบื้องหลังของแต่ละคนมีผลมากเหมือนกันนะ ในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและรูปรอยทางความคิดบางอย่างของเรา

หลายครั้งทีเดียว ที่การมองไปยัง “คนข้างหลัง” หรือฉากหลังของคน ๆ หนึ่งทำให้เราสามารถเข้าใจการแสดงออกบางอย่างของเขาที่มันยากแก่การทำความเข้าใจได้ เช่น เราพบพี่น้องคนหนึ่งที่มีอัคล๊ากชวนฉงน  พูดจาแข็งทื่อเหมือนสากกะเบือของครกหินอ่างศิลา หาความอ่อนโยนยากยิ่งกว่าหาน้ำในแม่น้ำโขงหน้าแล้ง แต่เมื่อมองไปยังฉากหลังของเขา มองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเขา เราอาจพบพื้นเพที่มาที่สามารถอธิบายพฤติกรรมดังกล่าวได้ เช่น เขาอาจมาจากสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างสาหัสและเป็นปรปักษ์ต่อความอ่อนโยน บางครั้งเมื่อมองไปยังที่มาของเขา เราอาจนึกชื่นชมด้วยซ้ำว่าคนที่ผ่านเรื่องราว หรือสภาพการณ์แบบนั้นมาได้ จนเป็นระดับที่เขาเป็นในทุกวันนี้ก็ถือว่ามาชาอัลลอฮฺมากๆแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามุมมองตรงนี้จะเป็นเหตุผลให้เราละเลยการตักเตือนและช่วยเหลือปรับเปลี่ยนข้อบกพร่องที่ควรเปลี่ยนของเขา เพียงแต่เราจะเตือนและจะช่วยเขาด้วยความรู้สึกที่ผ่องใสมากขึ้น เข้าใจเขามากขึ้น คือการมองไปยังจุดนั้นไม่ได้ทำให้หน้าที่ที่พึงมีของเราเปลี่ยน แต่หัวใจของเราจะดีขึ้น อินชาอัลลอฮฺ

อีกหลายครั้งทีเดียว ที่เรา(อย่างน้อยก็ผู้เขียน) มีเรื่องขัดแย้งทางความคิด ทัศนคติ หรือเกิดความไม่พึงใจบางอย่างต่อพี่น้องบางคน ทว่าเมื่อมองกลับไปยังเบื้องหลังของเขา ทุกครั้งเลยนะ ไม่รู้ทำไม มันจะมองเห็นอะไรบางอย่างในหมู่ “คนข้างหลัง” ของเขา หรือฉากหลังของเขา ที่เป็นจุดสะดุดทางความรู้สึกของเรา คือมนุษย์ทุกคนมีความน่าสงสาร-น่าเห็นใจเฉพาะตนอยู่นะ แม้แต่ชีวิตของเราเอง ก็มีความน่าสงสาร-น่าเห็นใจอยู่ในฉากหลัง ในคนที่อยู่ข้างหลังเรา การมองไปถึงจุดนั้นมันทำให้เกิดความสงสารเห็นใจ เอ้อ มันอาจเป็นคำที่คงไม่มีใครนึกชอบสักกี่คน แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ บางคนที่ถกเถียงกันในสนามวิชาการอย่างเผ็ดร้อน เขาต้องกลับไปผจญกับความเละเทะของญาติพี่น้อง เผชิญกับความขมขื่นบางอย่างในชีวิตครอบครัว ต่อสู้อย่างเจ็บปวดกับคนข้างหลังของเขาซึ่งมีปัญหาร้ายแรงหนักหนากว่าเรื่องที่เราขัดแย้งกันมากนัก การมองไปถึงมุมแบบนี้มันทำให้ความขุ่นเคืองลดวูบ เกิดความเห็นอกเห็นใจและมองเห็นพี่น้องที่มีความเห็นต่างจากเราในมุมที่เป็นมนุษย์เหมือนกันมากกว่าอริที่ยืนกันคนละข้าง ที่จริงมันดูไม่ค่อยเกี่ยวกันเท่าไหร่นะ ความขัดแย้งทางความคิดกับพื้นเพภูมิหลัง และปัญหาแวดล้อมอื่นๆ ของคนที่เราขัดแย้งด้วย แต่การมองไปถึงตรงนั้น มันทำให้เกิดความเห็นใจ และขจัดความรู้สึกไม่ดีได้ชะงัดนัก ประเด็นที่เราเห็นต่างกันยังคงต้องได้รับการถกต่อไป แต่มันไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคือง หรือขัดข้องหมองใจ คือการมองไปยังจุดนั้นไม่ได้ทำให้การแสดงออกของเราเปลี่ยน แต่หัวใจของเราจะดีขึ้น อินชาอัลลอฮฺ

ไม่ใช่แค่กับคนอื่น การมองไปยัง “คนข้างหลัง” ของเราเอง ก็ยังให้อะไรหลาย ๆ อย่างกับหัวใจของเรา  เอาง่าย ๆ แม่ของเรานี่ไง ไม่ว่าแม่จะเป็นคนที่รู้ศาสนามากแค่ไหน เข้าใจหรือไม่เข้าใจอะไร ในภาพรวมทั่วๆไป แม่ก็คือคนที่เป็นห่วงเรามากที่สุด…มากกว่าใครๆ  แม้กระทั่งปัญหาที่ดูเหมือนแม่ไม่น่าจะเข้าใจ แต่ขอให้ได้ออกปากบอกเล่าเถอะ แม่จะเป็นคนแรก ๆ ที่พร้อมจะปกป้องเรา (แม้บางเรื่องท่านอาจไม่แม้แต่เห็นด้วยกับเรา แต่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเรา มันคืออะไรบางอย่างที่เรามักเรียกกันว่า ‘สัญชาติญาณความเป็นแม่’) การมองไปถึงความรักของแม่ ช่วยแก้ปัญหาหลาย ๆ อย่างให้เราได้อย่างคาดไม่ถึงนะ เช่น ถ้าเราเจ็บปวดจากคำพูดบางคำของใครบางคนที่อาจปรารถนาไม่ค่อยดีต่อเรา ลองกลับมานั่งพิจารณาแม่และความรักของท่าน เราจะรู้ว่าที่จริงแล้วความทุกข์ความกังวลของเราก็คือความทุกข์ความกังวลของท่าน มันจึงเป็นเรื่องไม่สมควรที่สุดที่แม่จะต้องมาทุกข์ มากังวลของคำพูดจากคนบางชนิดที่ได้พูดกับเรา  คำพูดของเขาไม่คู่ควรจะมาสร้างความทุกข์ให้แม่ของเรา…ไม่คู่ควรเลย เช่นเดียวกัน เวลาที่เราคิดจะพูดจาทำร้ายใคร (ความเป็นมนุษย์น่ะ มันก็มีมั่ง ที่หมั้นไส้บ้าง อะไรบ้าง) เราก็จะยั้ง ๆ ตัวไว้ เมื่อนึกได้ว่าคำพูดของเรามันไม่ได้ทำร้ายตัวเขาคนเดียวหรอก ยังมี “คนข้างหลัง” เขา ที่ต้องถูกทำร้ายไปพร้อมกับเขาอีก

การที่มนุษย์มี “คนข้างหลัง” เป็นความผูกพันที่มหัศจรรย์มากจังในกฎการสร้างของอัลลอฮฺ มันเป็นความมหัศจรรย์ที่อาจไม่ได้เห็นเป็นรูปธรรม แต่เมื่อได้คิด ได้ใคร่ครวญ เราก็จะซาบซึ้งและนึกรัก ถ้าอัลลอฮฺจะให้มนุษย์เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ หรือแม้แต่เกิดมาจากมนุษย์ด้วยกันแต่ไม่มีความผูกพันทางความรู้สึกระหว่างกัน พระองค์ก็ย่อมทำได้ แต่อัลลอฮฺกำหนดการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของมนุษย์มาแบบนี้ และแน่นอนว่ากำหนดของพระองค์สวยงามน่ารักที่สุด พระองค์ให้มีความผูกพัน ให้มีคนข้างหลัง ให้มีสายใยระหว่างหัวใจมนุษย์ซึ่งอานุภาพของมันใหญ่โตและหนักหน่วงยิ่งกว่าอะไรที่เรามองเห็นเป็นรูปธรรมซะอีก – อัลฮัมดุลิลละฮฺ

ท้ายที่สุด…“คนข้างหลัง” ของเราก็ยังเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่เรามีงาน มีหน้าที่ มีภารกิจในทางศาสนาที่พึงปฏิบัติต่อพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ขอบอกก่อนว่าตัวเองเป็นคนไม่เห็นด้วยกับการสรุปเอาภาพที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักของ “คนข้างหลัง” นักทำงานมาฟันธงว่านักทำงานคนนั้น ๆ ไม่ให้ความสำคัญกับหน้าที่ใกล้ตัวของตัวเอง มัวแต่ไปทำงานกับคนอื่นไกลตัว เพราะผลลัพธ์จากการทำงานไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของเรา เขาอาจทำงานกับ “คนข้างหลัง” ของเขาอย่างเต็มที่แล้ว หรือเต็มที่อยู่ก็ได้ แต่อัลลอฮฺไม่ประสงค์หรือยังไม่ประสงค์ให้การทำงานของเขาบรรลุผล ถ้าเราไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาได้ทำงานตรงส่วนนั้นหรือเปล่า ก็ไม่ควรปวารณาตัวเองเป็นหมอลักษณ์จอมฟันธงหรือหมอกฤษณ์นักคอนเฟิร์ม

หลายครั้ง…งานที่พึงมี พึงทำต่อ “คนข้างหลังนั้น” เป็นงานที่ต้องใช้เวลาและการซึมลึก มากกว่างานที่จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วพริบตาหรือสามารถประชาสัมพันธ์ให้ครึกโครมรู้กันทั่วทั้งบาง  มันจึงเป็นงานระหว่างเรากับอัลลอฮฺอย่างแท้จริง  ฉะนั้นไม่ว่าคนอื่น ๆ จะมองคนข้างหลังเราเป็นวอลเปเปอร์ชนิดไหน ก็ช่างเขาเถิด  คนที่มองมายัง “คนข้างหลัง” ของเรา อาจเห็นพวกเขาแค่มิติทางภายนอกเหมือนที่มองเห็นวอลเปเปอร์ แต่เราซึ่งมีชีวิตอยู่ร่วม สัมผัส และผูกพันกับพวกเขาด้วยชีวิต ย่อมมองเห็นและรู้แจ้งแก่ใจว่าเหล่าคนข้างหลังของเรานั้นเป็นมากกว่าวอลเปเปอร์อย่างแน่นอน

เ รื่ อ ง ใ ห ญ่ ?

1.

เสียงกล่าวต้อนรับและรอยยิ้มหวานหยดของคุณครูหน้าประตูใหญ่บานนั้น

ดูเหมือนจะเป็นความทรงจำแรกที่เธอระลึกได้ในชุดอนุบาลฟูฟ่อง

มือที่กระชับแขนแม่ยิ่งแน่นเข้า และยืนเบียดจนแม่ต้องดันตัวออกห่าง ก่อนพูดฝากฝังสั่งความ

วันแรกของชีวิตนักเรียนเป็นเรื่องใหญ่โตนักแล้วในความทรงจำ

ราวกับก่อนหน้านี้ในชีวิตที่ผ่านมาสามฤดูฝน สามฤดูร้อน และสี่ฤดูร้อนมากของเธอ…

ไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

2.

เสียงพ่อค้าขายของเล่นประชาสัมพันธ์คุณสมบัติสุดมหัศจรรย์ของตุ๊กตาตัวนั้นทะลุเข้าไปในหัวใจทุกห้อง และสมองทุกขดของเธอ

อาการชะงักนิ่งไม่ยอมเดินต่อคงทำให้พ่อที่เดินนำเอะใจ แล้วตามมาด้วยอาการส่ายหน้ายิ้มๆ

พ่อเดินไปถามราคาพ่อค้า แล้วตามมาด้วยอาการส่ายหน้าเซ็งๆ

ราคามันแพงจัง…คำนวณแล้วก็เท่ากับค่าขนมครึ่งเดือนของเธอ

และตลอดครึ่งเดือนนั้น เธอก็ไม่เป็นอันทำอะไรอีก นอกจากเฝ้าฝันถึงตุ๊กตามหัศจรรย์

อาการตื่นตระหนกและกระชับมือแม่แน่นของรุ่นน้องอนุบาลหนึ่งปีนี้ที่เธอเดินกระโปรงฟูผ่านหน้าเข้าโรงเรียนไป

เหมือนจะไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรยิ่งใหญ่ต่อเธอเลย

ตุ๊กตาราคาเท่าค่าขนมครึ่งเดือนมันเป็นเรื่องใหญ่โตเสียนักแล้วในชีวิตขณะนั้น

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

3.

เสียงกำชับจากคุณครูประจำชั้นป.4ของเธอที่ใครๆก็รู้ว่าโหดที่สุดในโรงเรียน ยังดังก้องอยู่ในหู

พรุ่งนี้คุณครูนัดส่งงานประดิษฐ์ที่เธอยังไม่ได้ลงมือทำ (แต่แม่กำลังลงมือทำอยู่)

บอกแม่ว่าเธอนอนไม่หลับแน่ๆ แต่เธอก็นอนหลับไปหลังจากที่รู้ว่าแม่จะต้องทำมันจนเสร็จให้เธอให้ได้

ไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำกับอดีตตุ๊กตามหัศจรรย์ที่นอนไส้หลุดอยู่ในลังเก่าหลังตู้

(ครึ่งเดือนต่อมาหลังจากพบกันครั้งแรก เธอก็ได้มันมานอนกอด

โดยช่วยกันออกคนละส่วนกับพ่อ เธอออกเงินจากการอดออมของตัวเองตลอดครึ่งเดือนซึ่งมีจำนวนเท่าค่าขนมครึ่งวัน ส่วนที่เหลือพ่อเป็นคนรับผิดชอบ)

สำหรับคืนนั้น เรื่องงานประดิษฐ์ของครูจอมโหดดูจะเป็นเรื่องใหญ่โตเสียยิ่งนักจนเธอเก็บไปนอนฝัน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

4.

เสียงล้อรถคันใหญ่ที่เคลื่อนตัวออกจากสนามหญ้าของโรงเรียนเหมือนเสียงหัวใจเธอที่โลดไปข้างหน้า

มันเป็นปีแรกที่โรงเรียนจะไปจัดค่ายพักแรมนอกสถานที่

ถึงจะไกลออกไปไม่กี่ป้ายรถเมล์ แต่มันก็ชวนตื่นเต้นอยู่ดี

ใบหน้าโหดของครูประจำชั้นป.สี่ที่มาคุมรถวันนี้

กลับแลดูแจ่มใสใจดีสำหรับเด็กชั้นประถมปีสุดท้ายของโรงเรียนเช่นเธอ

งานประดิษฐ์ที่ได้รับคำชื่นชมว่าสวยเกินฝีมือเด็กป.สี่เมื่อสองปีก่อน

เป็นความทรงจำที่เกือบที่เลือนรางไปเสียแล้ว

ในวินาทีนี้เธอไม่ได้คิดถึงอะไรนอกไปจากค่ายพักแรมที่รออยู่ข้างหน้า

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

5.

เสียงสัมภาษณ์ของอาจารย์หน้าดุที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำให้เธอสั่นไปหมด

ทั้งที่แม่ก็ลองซ้อมคำสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนมัธยมของมุสลิมแห่งนี้ให้แล้ว แต่ก็อดประหม่าไม่ได้

และทั้งที่เมื่อคืนนี้ เธอได้ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่การเตรียมตัวมาในวันนี้

ไม่สนใจอาการเห่อของน้องชายวัยประถมที่กำลังจะไปเข้าค่ายพักแรมเป็นครั้งแรกของชีวิตเลย

มันจะอะไรนักหนากับอีแค่ไปข้างคืนนอกโรงเรียน

วินาทีนี้ไม่เห็นมีอะไรจะเป็นเรื่องใหญ่มากไปกว่าคำสัมภาษณ์ยากชะมัด ของอาจารย์หน้าดุ

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

6.

เสียงกระซิบกระซาบของเพื่อนที่ดังมาจากอีกฝั่งกำแพงทำให้เธอต้องตัดสินใจ

การหนีออกจากโรงเรียนในวันที่ผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้ไม่น่าจะมีใครสังเกตเห็นหรอกน่า

เธอพยายามปลอบใจตัวเอง…ก่อนที่จะตัดสินใจกระโดดข้ามกำแพงเตี้ยตามเพื่อนออกไป

หัวใจโลดขึ้นเมื่อพบใครบางคนเดินมาข้างหลัง

หากเพียงเหลียวหลังไปมอง ก็ยิ้มออกมาได้

แค่เด็กในชุดประถมที่จะมาสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนในวันรับเพิ่ม…วันนี้

หน้าตาของว่าที่รุ่นน้องยังมีร่องรอยความตื่นเต้นและแสนประหม่า

จนเธออยากจะปลอบว่า…ไม่ต้องห่วงหรอกน้องเอ๋ย โรงเรียนนี้เขารับทุกคนแหละ

แต่วินาทีนี้ เธอไม่นึกอยากทำอะไรมากไปกว่ารีบออกไปให้พ้นเสียจากที่ตรงนี้

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

7.

เสียงแนะนำ-โน้มน้าวของอาจารย์ฝ่ายแนะแนวการศึกษาหน้าชั้นเรียน

ไม่ได้เป็นที่สนใจของเธอมากกว่าเสียงพูดคุยกันของเพื่อนๆ

ทุกคนในกลุ่มตัดสินใจจะเลือกเรียนสายวิทย์ในปีการศึกษาหน้า

แต่เธอยังลังเล…ค่าที่ชอบเรียนภาษามากเสียเหลือเกิน

เมื่อเช้ามีเรื่องรุ่นน้องถูกลงโทษหน้าแถวเพราะหนีออกนอกโรงเรียน

แต่เธอแทบไม่ได้สนใจเพราะประหวัดคิดถึงแต่เรื่องการตัดสินใจเลือกสายเรียนในระดับชั้นมัธยมปลาย

มันเป็นเรื่องที่เธอต้องคิดหนักจริงๆ ระหว่างเลือกในสิ่งที่ตัวเองรัก กับเพื่อนที่รัก

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

8.

เสียงประธานนักเรียนอ่านดุอาอฺปิดประชุมสภานักเรียน

ไม่ได้ทำให้ห้องประชุมความกังวลในหัวใจเธอถูกปิดลงด้วย

จะปิดได้ยังไง…ในเมื่องานสารพัดอย่างถูกสุมลงมาที่ฝ่ายวิชาการอย่างเธอจนแทบจะมองไม่เห็นทางสะสาง

เมื่อพ้นห้องประชุมออกมา..รุ่นน้องมัธยมต้น2-3 คนก็รุดเข้ามาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกสายเรียน

เธอแนะนำอย่างง่ายๆว่าให้เลือกในสิ่งที่ตัวเองถนัดและอยากเรียน…เหมือนที่เธอเคยเลือกไม่ต้องตามเพื่อน

เพราะสุดท้ายความต่างทางสายการเรียนมันเป็นอะไรที่เล็กน้อยมากในระหว่างความเป็นเพื่อน

เธอบอกเพิ่มอย่างจริงจังด้วยว่าพอขึ้นสู่ชั้นมัธยมปลาย เรียนสายไหนก็เป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น

เพราะมีงานอันใหญ่โตในสภานักเรียนรอคอยทุกคนอยู่

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

9.

เสียงอาจารย์ใหญ่กล่าวปัจฉิมนิเทศดังกังวานไปทั่วแต่ เช่นเคย-ไม่มีใครสนใจฟัง

เธอเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในหัวของเพื่อนนักเรียนชั้นปีสุดท้ายที่นั่งหน้าสลอนอยู่ด้วยกันตอนนี้คงไม่ต่างไปจากในหัวของเธอ

นั่นคือมีแต่เรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึง

แม้แต่คำปรึกษากิจกรรมด้วยสีหน้าจริงจังของรุ่นน้องสภานักเรียนก็ดูเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรยากลำบากเลย

ก็การเข้ามหาวิทยาลัยมันเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตการศึกษาของเด็กๆ

และยังเป็นการแข่งขันทางการศึกษาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ทุกคนเคยผ่านมานี่

พวกเราก็ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว วางแผน และครุ่นคิด

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

10.

เสียงว๊ากของรุ่นพี่ในบรรยากาศทึบทึมของห้องเชียร์ทำให้หัวใจเธอหดหู่บอกไม่ถูก

เธอเพิ่งเคยพบกับกิจกรรมเช่นนี้เป็นครั้งแรก และแน่ใจว่าจะต้องไม่มีครั้งที่สอง

เธอยอมเสียเวลาตลอดเดือนแรกๆของชีวิตนักศึกษาไปกับการครุ่นคิดเรื่องหนีห้องเชียร์ และหาเพื่อนให้ได้โดยไม่ต้องผ่านกิจกรรมนรกชนิดนี้

ดังนั้น เมื่ออาจารย์แนะแนวของโรงเรียนเก่าเชิญไปพูดแนะนำการเตรียมตัวสอบให้รุ่นน้องม.6 เธอจึงบอกว่า…

การเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นอะไรที่ยากเย็นไปกว่าการเตรียมตัวใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย

เธอใส่ประเด็นเรื่องกิจกรรมรับน้องและความเพี้ยนสุดๆของมันเสียจนเต็มเวลาคาบแนะแนว

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

11.

เสียงฮะละเกาะฮฺของรุ่นพี่มุสลิมะฮฺในชมรมมุสลิมก่อให้เกิดความสงบใจอย่างประหลาด

เธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นภายในตัวเองตลอดระยะเวลาที่ผูกพันกับชมรมแห่งนี้

และกับสิ่งที่เธอกำลังคิดอย่างแน่วแน่ หลังจากศึกษาและอิสติคอเราะฮฺมาจนพบความมั่นคงในหัวใจ

เธอจะปิดหน้า…ดูเหมือนจะเป็นคนแรกของคณะที่เรียน นั่นไม่สำคัญหรอก

สิ่งที่เธอครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจังคือคำอธิบายต่อที่บ้านที่ดูจะยังไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ต่างหาก

มันเป็นเรื่องที่กินพื้นที่ในสมองส่วนใหญ่ของเธอไปในเวลานี้

แม้เมื่อรุ่นน้องมุสลิมปีหนึ่งในคณะเข้ามาถามถึงวิธีหนีประชุมเชียร์

เธอก็ยังอาสาเข้าไปคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันซึ่งเป็นพี่เชียร์ให้ โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องหนักหนาอะไรเลย

การไม่เข้าห้องเชียร์ในสายตาของคนที่ผ่านชีวิตปีหนึ่งมาแล้วเช่นเธอเป็นอะไรที่เล็กน้อยและเด็กมาก

โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เธอมีเรื่องปิดหน้าที่จะต้องใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง และมอบหมายต่ออัลลอฮฺอย่างหนักหนา

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

12.

เสียงอาจารย์ที่ต่อว่าเธอกลางห้องเรียนวิชาสัมมนาอันแสนเกลียดยังดังก้องอยู่ท่ามกลางน้ำตาริน

เธอไม่เคยเรียนอะไรที่มหาหินกับอาจารย์มหาโหดขนาดนี้มาก่อน

นึกอยากจะลาออกกลางเทอมสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาเสียให้รู้แล้วรู้รอด

มันเป็นอารมณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวยิ่งกว่าที่เคยไม่ไหว

ดังนั้นเมื่อน้องมุสลิมะฮฺในชมรมมาปรึกษาเรื่องจะปิดหน้า เธอจึงบอกว่าถ้ามั่นใจว่ามันดีกว่าก็ทำเถอะ

ที่นี่เขาให้เสรีภาพเราสูงจะตายในเรื่องนี้ ไม่มีปัญหาเลย เรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญตางหาก ที่เราต้องทำให้ดี

ก็อย่างเรื่องเรียนที่เธอกำลังปวดหัวและปวดหัวใจเจียนตายอยู่นี่ไง

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

13.

เสียงเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันที่ทยอยได้งานกันไปหมดแล้วทำให้เธอสูดลมหายใจให้เต็มปอดอีกครั้ง

เธอต้องทำได้ซิ…กับแค่ไปสัมภาษณ์งานทั้งที่ปิดหน้ามันจะกระไรนัก อัลลอฮฺจะต้องช่วยเหลือเธอ เธอเชื่อมั่น

เอกสารเกี่ยวกับบริษัทที่จะไปสัมภาษณ์ยังวางกองอยู่บนโต๊ะ

และมันทำให้เธอรู้ว่าวิชาสัมมนาในรั้วมหาวิทยาลัยที่แสนยากนั้น

ไม่ได้ยากไปกว่าวิชาชีวิตจริงในมหาวิทยาลัยชีวิตเลย

แต่เธอต้องทำได้…พยายามเรียกความเชื่อมั่นของตัวเองกลับมา และทุ่มเวลาไปกับการเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานอย่างจริงจังที่สุด

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

14.

เสียงเยาะเย้ยถากถางจากเพื่อนร่วมงานตรงห้องกาแฟหัวมุมโน้นดังมาอีกแล้ว

เธอพยายามอดกลั้นจนถึงที่สุด แต่ทุกสิ่งย่อมมีจุดเดือดของมันและตอนนี้จุดนั้นกำลังจะดังกริ๊งอยู่ในหัวเธอ

ไม่ใช่ไม่เคยอธิบาย แต่บางพฤติกรรมที่เกิดจากอคติของบางคนนั้นไม่ต้องการคำอธิบาย

เมื่อประกอบกับความอึดอัดทั้งในใจตนและในสีหน้าของเจ้านายชายกลางคน

ตอนที่เธอขอให้เขาออกมาพูดธุระกับเธอที่นอกห้องส่วนตัว

ทำให้แผนที่อยู่ในหัวของเธอยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที และทุกที

มันคงจะไม่ใช่ที่อยู่ของมุสลิมะฮฺอย่างเธอจริงๆนั่นแหละ สำหรับบริษัทแห่งนี้

บทสัมภาษณ์ที่เธอเตรียมตัวเป็นอย่างดีและทุ่มเททุกอย่างให้เมื่อสองเดือนก่อน

ไม่มีน้ำหนักอะไรพอจะฉุดรั้งเธอไว้ได้อีกแล้ว

ตอนนี้เธอได้ทุ่มความคิดและทั้งหมดของสิ่งที่ต้องทำไปที่ซองสีขาวและแบบฟอร์มจดหมายลาออก

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

15.

เสียงร่ำไห้แผ่วเบาของเพื่อนมุสลิมะฮฺที่ผ่านสายโทรศัพท์มาทำให้เธอช็อค

ใช่ เธอช็อค และรู้สึกร้าวไปทั้งอก เมื่อทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น

เธอไม่รู้ว่าความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจระหว่างเราเกิดขึ้นที่ตรงไหนและทำไมมันเจริญเติบโตเร็วนัก

เราเคยทำงานร่วมญะมาอะฮฺเดียวกัน แม้ไม่มีชื่อกลุ่ม หรือชื่อปฏิบัติการอะไร

แต่ก็เป็นที่รับรู้ว่าเราอยู่ญะมาอะฮฺเดียวกัน

เธอเกลียดความขัดแย้ง โดยเฉพาะความขัดแย้งแบบผู้หญิงที่ไม่ยอมพูดอะไรกันซึ่งๆหน้า แต่กลับเอาไปพูดลับหลัง

มันเป็นความเจ็บปวดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต

ที่ทำให้การเดินออกจากบริษัทเงินเดือนงามเมื่อปีก่อนดูเป็นเรื่องเล็กจิ๋วเหมือนลูกปลาซิวคลอดก่อนกำหนด

ความขัดแย้งระหว่างเรากับกาฟิรจะมีน้ำหนักอะไรเมื่อเทียบกับความไม่เข้าใจระหว่างเรากับพี่น้องมุสลิมด้วยกัน

นี่ถ้าเธอไม่ลงทุนต่อสายมาเคลียร์กันแบบตรงๆ

คงไม่รู้ว่ามีเรื่องที่เพื่อนไม่เข้าใจความคิดของเธอมากมายจนออกปากว่า คงทำงานร่วมกันต่อไปไม่ได้แล้ว

มันเป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เธอถึงกับเซทำอะไรไม่ถูกและเสียเวลาทรงตัวอยู่ระยะหนึ่ง

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

 

16.

เสียงอิญาบ-กอบูลของผู้ชายสองคนในมัสญิดซึ่งมีชื่อเธอรวมอยู่ในทั้งสองประโยคนั้นราวกับจะดังก้องอยู่ในหัวและหัวใจ

ใช้เวลาไม่นานเลยจริงๆกับการกระทำการตามขั้นตอนของอิสลาม และมอบหมายต่ออัลลอฮฺอย่างสุดหัวใจ

ชีวิตครอบครัวที่จะเกิดขึ้นหลังจากวินาทีนี้เป็นสิ่งที่นำความรู้สึกมหัศจรรย์มาให้ จนลืมสิ้นแทบทุกเรื่อง

ลืมแม้แต่คำพูดว่าคงทำงานร่วมกันต่อไปไม่ได้แล้ว ของคนที่เข้ามาสวมกอดแสดงความยินดี

มันอาจเป็นเพียงอารมณ์ชั่วครู่ของผู้หญิง ที่ได้รับการสุมไฟจากชัยฏอนวายร้ายด้วยกระมัง

…สำหรับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาพูดหรือนึกถึงในวันนี้มิใช่หรือ

วันที่เธอมีอะไรหลายอย่างต้องคิด และต้องทำเพื่อชีวิตใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา

และก็คงจะใช้อีกมากมายวินาทีหลังจากนี้ไปเพื่อมัน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

17.

เสียงอะไรบางอย่างภายในที่กระทุ้งผิวเนื้อของท้องนูนนำพาความรู้สึกประหลาดที่สุดในชีวิตมาให้

เป็นความรู้สึกผ่อนคลายที่มาพร้อมกับความรู้สึกหนักหน่วงเหลือรับ

เธออ่านอายะฮฺอัลกุรอานที่พูดเกี่ยวกับพัฒนาการของชีวิตน้อยๆในครรภ์พอดี

ตอนที่ผู้อยู่ภายในกระทุ้งเหมือนตอบรับ

มันเป็นความรู้สึกยิ่งใหญ่เสียจนเธออยากจะไปป่าวร้องให้น้องๆที่ชอบเข้ามาถามเกี่ยวกับสารพัดแนวคิดเรื่องคู่ครอง

และการเตรียมตัวเพื่อครองคู่ได้รู้ว่า…

สิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมายยิ่งกว่าการมัวแต่เลือกอยู่นั่น คือความรู้สึกนี้ และภารกิจนี้ต่างหาก

ตอนนี้เธอมุ่งความสนใจทั้งหมด และความวิตกกังวลทั้งสิ้นไปที่ชีวิตน้อยๆในครรภ์

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

18.

เสียงร้องของเด็กตัวแดงผู้นั้นไม่ดังเลยในห้องคลอดมิดชิดแต่ดังนักในห้องหัวใจอันสว่างโร่

มันเป็นความเจ็บปวดที่ชวนอิ่มเอมที่สุด ไม่สามารถหาคำบรรยายได้

และราวกับความเจ็บปวดทั้งหมด ความวิตกกังวลทั้งมวลตลอดเก้าเดือนที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องที่ถูกลืมไปเสียสนิทแล้ว

วินาทีนี้ เจ้าของเสียงร้องเมื่อครู่ต่างหากที่กินเนื้อที่ความสนใจและทั้งหมดแห่งความปรารถนาในชีวิตของเธอไป

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

19.

เสียงร้องจ้าไม่หยุดที่มาพร้อมกับไข้ที่สูงขึ้นทุกทีของเด็กชายในอ้อมแขนทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจตนเป็นไข้สูงไปด้วย

เธอขอดุอาอฺให้ความเจ็บปวดของเด็กชายมาลงอยู่ที่เธอเสียยังจะดีกว่า

ความเจ็บปวดแม้อย่างที่สุดในยามคลอดเขาออกมายังไม่ได้เทียบเท่าหัวใจรอนๆในตอนนี้

และพร้อมจะเจ็บปวดเช่นนั้นแล้วเช่นนั้นอีกด้วยซ้ำแค่ขอให้ไข้ของคนในแขนลดลงสักหนึ่งองศา

พาหนะที่พุ่งไปสู่โรงพยาบาลคงเร็วที่สุดแล้วสำหรับคนขับ แต่มันยังไม่ทันใจเธออยู่ดี

ไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งใดในห้วงความคิดของเธอเลย ณ วินาทีนี้

…นอกจากคำวิงวอนที่เกี่ยวข้องกับอาการของร่างในอ้อมแขน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

20.

เสียงใสที่อ่านอัลกุรอานอย่างพยายามจะให้ชัดที่สุดเป็นเสียงที่ไพเราะสำหรับเธอยิ่งกว่าเสียงของเชคคนไหนๆในโลก

เธอเริ่มคิดเรื่องการวางแผนการศึกษาให้เขาอย่างจริงจังด้วยตัวเอง

ตระหนักในตอนนี้เองว่า ความเจ็บป่วยใดใดที่อัลลอฮฺได้รักษาชีวิตของเขาให้ผ่านพ้นมาจนวันนี้

ไม่ได้หนักหน่วงมากไปกว่าการจะรักษาชีวิตของเขาให้คงมั่นอยู่ในแนวทางนี้ตลอดไป

การที่เขามีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่สำคัญมากไปกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร

และการให้การศึกษากับเขา ให้เขาได้รู้จักทางนำที่จริงแท้ของชีวิตดูจะเป็นทางรอดเดียวที่เธอแน่ใจ

มันเป็นเรื่องที่เธอต้องทุ่มเทเวลาคิดย่างหนักหน่วงและรอบด้าน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

21.

เสียงคำขานชื่อโรคภัยนั้นเป็นไปอย่างเห็นอกเห็นใจและให้กำลังใจอยู่ในที

เธอยอมรับว่ารู้สึกช็อกกับชื่อโรคที่ทุกคนในทศวรรษนี้หวาดกลัว

แม้ว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรงหน้าจะยืนยันว่ามันสามารถรักษาให้หายได้

คนข้างๆบีบมือให้กำลังใจ  และจังหวะนั้นเองที่ทำให้เธอตั้งสติได้

แผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมดทั้งในเรื่องลูก…คนที่สำคัญที่สุดในชีวิต และเรื่องอื่นๆจะไม่มีน้ำหนักอันใดเลย

ถ้าเธอไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ให้ผ่านพ้น

ดังนั้นเธอจะใช้เวลาและความจริงจังในการต่อสู้กับมันด้วยดุอาอฺ ด้วยหัวใจ และทุกๆวิธีการรักษา

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

22.

เสียงจ๊อกแจ๊กเต็มชีวิตเติมชีวาของเด็ก ๆ ที่รายรอบทำให้เธอรู้สึกชื่นบานขึ้นมาได้

ในวันวัยที่ดูจะไม่มีอะไรให้ชื่นบานมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ลูกๆ และครอบครัวของพวกเขานั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าสรวลเสเฮฮานัก

ญาติมิตรยังคงถามไถ่ถึงประสบการณ์โรคภัยร้ายแรงในอดีตว่าเธอผ่านพ้นมันมาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร

เธอยังคงไม่เหนื่อยที่จะตอบมันด้วยน้ำเสียงราวกับโรคที่เป็นนั้นก็เพียงชนิดหนึ่งของเชื้อหวัด

มันผ่านไปแล้ว ใช่ มันผ่านไปแล้วด้วยอนุมันติของอัลลอฮฺเท่านั้น

ตอนนี้ ชีวิตเธอก็ได้แต่นั่งดูหลานๆในชุดกระโปรงฟูฟ่องวิ่งไปมา

สังเกตสรรพสิ่ง ละหมาดอย่างเอาใจใส่ และเตรียมตัวอย่างเต็มที่สำหรับวันที่จะถูกนำไปละหมาด

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

 

23.

เสียงร้องเท้าคู่สุดท้ายที่ตามมาส่งเธอค่อย ๆ เงียบหายไปในความสงัดเงียบ

มันเป็นวินาทีที่ไม่มีคำบรรยาย ไม่มีใครรับรู้ ไม่มีผู้ช่วย ทั้งไม่มีทางอื่นใดให้เร้นหนี

คำถามที่จะเกิดขึ้นหลังจากวินาทีนี้คงไม่ใช่คำถามของมนุษย์อีกแล้ว

และเธอก็ได้ตระหนักในวินาทีนี้เองว่า…

ก่อนหน้านี้…ชีวิตเธอไม่เคยเจอเรื่องอะไรที่ใหญ่โตมากกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้เลย…ไม่เคย!

 

………………………จบ………………………

 

 

วิ ช า ‘ ตั ว เ อ ง ศึ ก ษ า ’

คำถามพื้นฐานที่สุดที่มนุษย์จำนวนมากใช้ถามชีวิตตนเอง ไม่ว่าจะอย่างตั้งอกตั้งใจหรืออย่างไม่รู้ตัว ก็คือ “เราเกิดมาทำไม” ?

ชั่วชีวิตหนึ่งของคนเรา อย่างน้อยก็คงจะมีสักครั้งที่คำถามลักษณะนี้ผุดขึ้นในมโนสำนึก เพราะการเกิด-การอุบัติขึ้นของชีวิตมนุษย์นั้น มันดูเป็นเรื่องที่ควรจะมีความหมายมากกว่าแค่การแวะมาเหยียบโลก พบ เผชิญ กระทำสิ่งต่างๆ ตามปรารถนาและไม่ปรารถนา แล้วก็จากไปอย่างจบสิ้น อย่างไม่มีอะไรดำเนินต่อ ธรรมชาติของมนุษย์จะเชื้อเชิญมนุษย์อย่างไม่ให้ทางหลบเลี่ยงไปสู่ความรู้สึกว่าชีวิตควรมีหรือเป็นอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ใครบางคนต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์และหาคำตอบ ในขณะที่อีกบางคนก็ต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อจะไม่พิสูจน์และไม่หาคำตอบ

 

มุสลิมโชคดีก็ตรงที่เกิดมาพร้อมกับคำตอบนั้นแล้ว รู้แล้วอย่างสว่างแจ้งว่าตัวเองเกิดมาทำไม มีงานอะไรที่ควรทำและต้องทำ ชีวิตคืออะไรและจะต้องไปไหนต่อ ทว่าหลายครั้งการใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่แสนจะซับซ้อนและสับสนเช่นทุกวันนี้ก็ได้ส่งอีกสารพัดคำถามเข้ามาในชีวิตของมุสลิม เป็นคำถามถึงวิถีชีวิต เส้นทาง การศึกษา การประกอบอาชีพ ครอบครัว และอีกสารพัดสารเพ ว่าที่จริงแล้วสิ่งที่เราทำอยู่ ทางที่เราเดินอยู่ มันจะนำไปสู่อะไร มันมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ไหน สอดคล้องกับคำตอบต่อคำถามพื้นฐานแห่งชีวิตที่เรารู้ดีและตอบตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรือเปล่า

 

วิถีชีวิตของคนทั่วๆไปในสังคม (โดยเฉพาะในสังคมเมือง) เป็นวิถีที่เป็นแบบแผน ซ้ำซากหมุนเวียนกันอย่างคล้ายคลึงไปเกือบทุกวันและเกือบทุกคน วิถีเช่นนี้เองที่ทำให้ธรรมชาติภายในของมนุษย์ซึ่งมักโหยอะไรบางอย่างอยู่เสมอต้องออกมาตั้งคำถามถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ สำหรับมุสลิมซึ่งรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว ก็ไม่วายได้รับอิทธิพลจากคำถามดังกล่าว เพราะก็มีวิถีการใช้ชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นๆในสังคมนัก  แต่เนื่องจากเราสามารถตอบคำถามใหญ่อันเป็นแก่นแกนของชีวิตประการนั้นได้อยู่แล้ว คำถามที่ว่าจึงสำแดงเดชลงมาที่เป้าหมายรองๆของชีวิต นั่นคือเป้าหมายอันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่

เป็นเรื่องปกติที่สุด และเข้าใจได้อย่างยิ่งที่บางครั้งบางคราวของชีวิต มันจะมีคำถามขึ้นมาในหัวและหัวใจเราว่า เราเรียนสิ่งนี้ไปทำไม เราทำงานนี้ไปทำไม เราจะผลักดันลูกให้เรียนในสถาบันมีชื่อเสียงเพื่อจะจบมาออกมามีศักยภาพพอที่จะผลักดันลูกของลูกเข้าไปในสถาบันเช่นนั้นอีกทำไม

 

ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ว่าคำถามลักษณะดังกล่าวได้เกิดขึ้นภายในใจของเรา ก็คงต้องยอมรับว่ามันเป็นการตั้งคำถามที่เข้าใจได้เมื่อมองไปยังวิถีชีวิตของมนุษย์-โดยเฉพาะมนุษย์เมือง-ของโลกทุกวันนี้  ตารางเวลาชีวิตประจำวันที่เร่งรัด และวางอยู่บนการแข่งขันแย่งชิงเป็นหลัก นับตั้งแต่แย่งชิงที่นั่งบนรถประจำทางในยามเช้า แย่งชิงที่นั่งในสถาบันการศึกษาหรือองค์กรการทำงานมีชื่อ แข่งขันกันในเรื่องผลการเรียน รายได้ ความมั่งคั่งของครอบครัว และอีกหลายสิ่งหลายอย่างจารไนไม่หมด มันเป็นวิถีที่บั่นทอนอะไรบางอย่างในตัวตนของมนุษย์ เราหยาบกร้านกับชีวิตมากขึ้น มีเวลาใคร่ครวญตัวเองและสรรพสิ่งน้อยลง  ฟ้าสีฟ้าและเมฆสีเมฆที่สวยจับใจในบางเช้าไม่อาจมอบความรู้สึกดีๆให้เรา  หญิงสาวกับกระเป๋าใบละสามหมื่นที่เดินเชิดหน้าผ่านวนิพกผู้คุ้ยหาเศษขยะราคาสักสามบาทไม่อาจสร้างความรู้สึกวูบโหวงให้เกิดขึ้นได้ในอกของเรา เด็กตัวเท่าลูกแมวที่มั่วสุมอยู่ในร้านเกมส์  บุหรี่ในมือของวัยรุ่นชายชุดมัธยม คนแก่หลังค่อมที่ไม่ได้รับที่นั่งบนรถประจำทาง ดอกไม้ที่ถูกปล่อยให้เหี่ยวเฉาอยู่ริมถนนโดยไม่มีใครสนใจรดน้ำ ปลาที่ลอยตายอยู่ข้างถุงขนมบนสายน้ำสีคล้ำ  อะไรต่างๆเหล่านี้ เกือบจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถสร้างความรู้สึกอะไรให้แก่เราได้เลย หรือถ้าสร้างได้ก็น้อยมาก และเหมือนจะน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งที่ธรรมชาติของมนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความรู้สึกกับเรื่องเหล่านี้ เชื่ออย่างนั้นนะ เชื่อว่ามันเป็นธรรมชาติ เป็นฟิฏเราะฮฺที่มวลมนุษย์มีร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะศิลปินสุดติสต์หรือกวีหลุดโลกเท่านั้นที่จะสามารถดื่มด่ำกับบางความรู้สึกจากสิ่งเหล่านี้ได้ แต่มนุษย์ทุกคนทีเดียวที่จะรู้สึกอะไรบางอย่างกับสิ่งเหล่านี้ แค่มาก-น้อยต่างกันเท่านั้น หากชีวิตในวิถีคนเมืองทุกวันนี้ทำให้เราแทบจะไม่รู้สึกอะไรกับมัน หมายถึงในภาพรวมๆทั่วๆไปน่ะนะจ๊ะ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกเสมอก็นับว่าเป็นกรณีพิเศษและควรชื่นชม

 

เมื่อมนุษย์ซึ่งถูกสร้างมาให้มีทั้งสมองสำหรับจะคิด และมีหัวใจสำหรับจะรู้สึก ถูกทำให้ศักยภาพทั้งในการคิดและการรู้สึกเปลี่ยนรูปไปโดยวิถีชีวิต ใช่ๆ เราควรใช้คำว่า‘เปลี่ยนแปลงรูปร่างและลักษณะไป’มากกว่าจะบอกว่ามนุษย์ไม่รู้สึกอะไรเลย เราทุกคนยังคงใช้ความคิดกันอย่างหนักหน่วงกับเรื่องที่เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชาวเมือง-วิถีของเรา (ซึ่งมีลักษณะอย่างที่บอก คือคล้ายคลึงกันเกือบทุกวันและเกือบทุกคน) คนทำงานคิดเรื่องงานและจะรู้สึกมากมายเหลือเกินกับเรื่องรายได้ (ไม่ว่าลิงโลดเมื่อได้เพิ่ม หรือฟี้บแฟ้บเมื่อถูกลด) นักเรียนนักศึกษาก็คิดเรื่องเรียนและจะรู้สึกมากมายเหลือเกินกับผลการเรียน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ผิด แต่เมื่อลักษณะเหล่านี้ทำให้ความคิดและความรู้สึกในด้านละเมียดละไมของมนุษย์ลดถอยลง อะไรบางอย่างในตัวมนุษย์ก็จะตั้งคำถามขึ้นมา อย่างเสียงดังเหมือนตะโกนในบางอก และแผ่วเบาแทบไม่ได้ยินในอีกบางอก

“เรามีความสุขแล้วใช่ไหมกับสิ่งที่เลือกทำอยู่”

“เราเหนื่อยกับสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร”

ฯลฯ

 

คำถามพื้นๆเหล่านี้จะไม่ก่อผลกระทบอะไรมากมายเลย ถ้าเราตอบมันได้ย่างชัดเจน คนที่ทำงานโดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าเลือกทำงานตรงนี้เพราะอะไร มีเป้าหมายอย่างไรในการยืนอยู่ตรงนี้ ยิ่งมุสลิมซึ่งตอบโจทย์หลักของชีวิตได้อยู่แล้วยิ่งง่ายใหญ่ คือถ้ายืนกรานกับตัวเองได้แน่นอนว่าเป้าหมายของงานที่ทำอยู่สอดคล้องกับเป้าหมายหลักในชีวิตของเขาอย่างไร เขาก็จะยืนอยู่ต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง ไม่สะทกสะท้าน นักเรียน-นักศึกษาก็ช่นกัน แต่ปัญหามันจะเริ่มเกิดถ้าเราตอบตัวเองไม่ได้ หรือได้ไม่ชัดเจน ว่าเรายืนอยู่ตรงนี้ทำไม สิ่งที่เราทำอยู่มีเป้าหมายอะไร สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของชีวิตเราอย่างไร การตอบตัวเองไมได้ หรือพอจะตอบได้แต่ทว่าเป็นคำตอบที่น่าหวาดกลัวทำให้เราหลายคนเลือกที่จะเมินเฉยให้กับคำถามเหล่านี้ ไม่ตอบ ไม่ใส่ใจ และทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไปให้จบๆ ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ดีหรอก ไม่ดีเลย ภาวะเช่นนี้จะทำให้เราเจ็บปวด จริงๆนะ มันเจ็บปวด เพราะก้าวยืนเราจะไม่แน่น ไม่มั่นคง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีอะไรเข้ามากระทบ มีบททดสอบเข้ามากระหน่ำ สามารถล้มหัวฟาดได้ง่ายๆทีเดียว

 

นั่นแหละคือสิ่งที่อยากจะนำเสนอ : โปรดให้เวลาตัวเองที่จะรู้จักตัวเอง !

 

อาจฟังดูเป็นเรื่องตลก ที่จะต้องมาทำความรู้จักกับตัวเอง แต่จริงๆมันเป็นวิชาเรียนของมหาวิทยาลัยชีวิตที่สำคัญนะ สำคัญมาก หลายครั้งวงจรชีวิตของสังคมทุกวันนี้ซึ่งกำหนดขั้นตอนการเดินทางของชีวิตเรามาเสร็จสรรพว่าต้องทำอะไร-เมื่อไหร่ก็บีบบังคับเรากลายๆให้ต้องเป็นตามนั้น โดยไม่พักต้องเสียเวลาถามและทำความเข้าใจกับตัวเองว่าเราทำสิ่งนั้นๆ ไ ปทำไม เพื่ออะไร  ไม่ต้องนับว่าสังคมทุกวันนี้ยังเต็มไปด้วยสารพัดแนวคิด สารพัดความซับซ้อนสับสนอลเวงวุ่นวาย ที่ยิ่งทำให้เราจำเป็นต้องรู้จักตัวเอง รู้เท่าทันความต้องการและเป้าหมายของตัวเองในทุกๆการกระทำ ฉะนั้น ลองให้เวลาตัวเอง ได้พูดคุย-ทบทวนสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ในแต่ละเดือน แต่ละวัน แต่ละนาที ว่าเราต้องการอะไรจากสิ่งที่ทำอยู่  จุดที่ยืนอยู่ ทางที่เดินอยู่  ตอบตัวเองให้ได้ และควรจะได้อย่างชัดเจนด้วย

การตอบคำถามลักษณะนี้ของตัวเองไม่ได้มันคือความเจ็บปวด ถ้าตอบไม่ได้เรื่อยไป ก็จะเจ็บปวดเรื่อยไป และไม่มีมนุษย์คนใดช่วยตอบให้เราได้เลย เราต้องตอบมันด้วยตัวเอง

 

การรู้จักตัวเอง รู้จุดหมายของตัวเองในทุกๆเส้นทางที่ย่ำไป ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราสามารถยืนอยู่ในจุดที่ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงทั้งในยามปกติและยามปัญหาถาโถมเท่านั้น แต่มันยังทำให้ใครอื่นทำอะไรเราไม่ได้  เราจะไม่เจ็บปวดเพราะใครไม่ว่าโดยคำพูดหรือการกระทำ และไม่สับสนลังเลจากความไม่เห็นด้วยของใคร ตราบที่ความไม่เห็นด้วยของเขาไม่สามารถหักล้างสิ่งที่เราคิด เชื่อ และใช้มันตอบคำถามตัวเองตลอดมาได้  

 

เราจะชัดเจนในตัวเอง และไม่เจ็บปวดจากความไม่ชัดเจนของตัวเอง เพื่อจะไปเจ็บปวดกับเรื่องราวอีกมายที่มันมีค่าควรให้เจ็บปวดมากกว่า

 

การศึกษาตัวเองเป็นเรื่องดีนะ ดีมากเลยล่ะ ที่จริงมันก็สอดคล้องและอาจนับเป็นส่วนหนึ่งของ “การตรวจสอบตัวเอง” ที่เรารู้จักกันดีได้  แต่มันจะกินลึกไปถึงแนวคิด ทัศนคติ และความรู้สึกต่างๆของเราเองว่ามันมีที่มาจากไหน มันมีจุดหมายอะไร คือถ้ามองเชื่อมโยงกับโลกปัจจุบัน เราต้องยอมรับว่าโลกมันมีอะไรบางอย่างที่ซับซ้อนขึ้นและอธิบายยากมากขึ้นเมื่อเปรียบกับโลกในสมัยก่อนๆ ความคิดของเรา ทัศนคติของเราในบางเรื่อง หรือหลายเรื่อง ล้วนถูกปรุงแต่งขึ้นจากอะไรหลาย ๆ อย่างที่บางทีเราก็แทบไม่รู้ตัว  การได้พูดคุยกับตัวเอง ค้นหาธรรมชาติของตัวเองให้พบ จะทำให้เราไม่ถูกลวงโดยกระแสสังคม ทั้งยังเกี่ยวพันโดยตรงกับการมีชีวิตอยู่อย่างบ่าวที่น่ารักของอัลลอฮฺ เพราะการรู้และเข้าใจในธรรมชาติของตัวเอง จะทำให้เรารู้ว่าเราเป็นคนที่เรียนรู้ได้ดีผ่านวิธีใด อีมานของเรามักจะเข้มแข็งเมื่ออยู่ท่ามกลางอะไร และสภาพการณ์ใดที่เราสุ่มเสี่ยงจะเป็นผู้แพ้ในสมรภูมิแห่งการรักษาอีมาน…สมรภูมิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

 

ในระหว่างคาบเรียนวิชาตัวเองศึกษานี้ เราจะพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับมนุษย์ถูกตัดขาด ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับอัลลอฮฺถูกกระชับแน่น หลายๆเรื่อง หลายๆซอกมุม หลายๆวินาทีที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เมื่อได้กลับมาทบทวนแล้ว เราจะพบว่ามันเป็นเรื่อง เป็นมุม เป็นวินาทีที่ไม่สามารถจะอธิบายให้มนุษย์คนไหนเข้าใจความเป็นเราได้ แต่กับอัลลอฮฺ…พระองค์ไม่ต้องการคำอธิบาย ทรงรู้และอยู่ร่วมในทุกเรื่องราว ทุกซอกมุม ทุกวินาที มันเป็นความผูกพันที่ล้ำลึกและยิ่งล้ำลึกขึ้นทุกทีที่ได้ทบทวนถึง จนเกือบจะกล่าวได้ว่าการรู้จักตัวเองของเราไม่อาจเกิดขึ้นและดำเนินไปอย่างถูกต้องได้เลย นอกจากมันจะต้องควบคู่ไปกับการรู้จักอัลลอฮฺ…ผู้เป็นเจ้าของชีวิตเราและทุกชีวิต

 

หากเราเป็นคนหนึ่งที่มีความเจ็บปวดสับสนจากจุดที่กำลังยืนอยู่ ลองหาเวลาสักหน่อยจากตารางชีวิตชาวเมืองอันเต็มเอี้ยด นั่งลงพูดคุยกับตัวเอง ศึกษาและทำความเข้าใจตัวตน การกระทำและความคิดของตัวเอง ให้คนบางคนที่อยู่ในตัวของเราได้ออกมาพูดความในใจของเขา  คนที่อาจอยากมองท้องฟ้ายามเช้าและดวงดาวยามดึกเพื่อจะนึกและไม่นึกถึงอะไรต่อมิอะไร คนที่อยากรู้สึกเจ็บปวดกับเด็กที่ถูกทำร้าย และทักทายกับแถวมดข้างกำแพง เมื่อเราได้พบเขา…ด้านที่เป็นธรรมชาติของชีวิต มุมที่ละเมียดละไมนักในตัวตน เราจะรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย มีเรื่องราว และมีอะไรบางอย่างที่ดีๆ

แปลกเหมือนกันที่ยิ่งเรารู้จักตัวเองมากขึ้น ก็เหมือนเราจะยิ่งรู้จักคนอื่นมากขึ้นด้วย เพราะเรารู้ว่าเรามีข้อบกพร่องตรงนั้น มีจุดด้อยตรงนี้ เรามองเห็นตัวเองในมุมที่เป็นมนุษย์ และเราก็จะยอมให้คนอื่นเป็นมนุษย์ซึ่งย่อมมีข้อบกพร่องด้วย เรามีความเห็นที่แตกต่างกับคนอื่นในบางประเด็นที่ไม่อาจและไม่ควรชี้วัดถูก-ผิด และเราก็จะยอมให้คนอื่นมีความเห็นที่แตกต่างจากเรา เรารู้ว่าอะไรคือเรื่องใหญ่ของชีวิต และเราจะไม่เสียเวลาหรือความรู้สึกไปมากมายกับเรื่องเล็กน้อย เรารู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เราทำสิ่งนี้ ยืนอยู่จุดนี้ และเดินต่อไปในเส้นทางนี้ ซึ่งผลสัมฤทธิ์จากการลงเรียนวิชาตัวเองศึกษาดังกล่าวนี้ย่อมจะทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น ชัดขึ้น และไปต่อได้อย่างมั่นคงขึ้น – อินชาอัลลอฮฺ

 

วิชาตัวเองศึกษาจึงเป็นวิชาสำคัญที่น่ารักน่าลงเรียน มันเป็นเรื่องสยองขวัญนะ ถ้าเราจะรู้จักสิ่งต่างๆไปทั่วโลก รู้ไปถึงกระทั่งดาวอังคาร แต่กลับไม่รู้จักตัวเอง!