เ รื่ อ ง ใ ห ญ่ ?

1.

เสียงกล่าวต้อนรับและรอยยิ้มหวานหยดของคุณครูหน้าประตูใหญ่บานนั้น

ดูเหมือนจะเป็นความทรงจำแรกที่เธอระลึกได้ในชุดอนุบาลฟูฟ่อง

มือที่กระชับแขนแม่ยิ่งแน่นเข้า และยืนเบียดจนแม่ต้องดันตัวออกห่าง ก่อนพูดฝากฝังสั่งความ

วันแรกของชีวิตนักเรียนเป็นเรื่องใหญ่โตนักแล้วในความทรงจำ

ราวกับก่อนหน้านี้ในชีวิตที่ผ่านมาสามฤดูฝน สามฤดูร้อน และสี่ฤดูร้อนมากของเธอ…

ไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

2.

เสียงพ่อค้าขายของเล่นประชาสัมพันธ์คุณสมบัติสุดมหัศจรรย์ของตุ๊กตาตัวนั้นทะลุเข้าไปในหัวใจทุกห้อง และสมองทุกขดของเธอ

อาการชะงักนิ่งไม่ยอมเดินต่อคงทำให้พ่อที่เดินนำเอะใจ แล้วตามมาด้วยอาการส่ายหน้ายิ้มๆ

พ่อเดินไปถามราคาพ่อค้า แล้วตามมาด้วยอาการส่ายหน้าเซ็งๆ

ราคามันแพงจัง…คำนวณแล้วก็เท่ากับค่าขนมครึ่งเดือนของเธอ

และตลอดครึ่งเดือนนั้น เธอก็ไม่เป็นอันทำอะไรอีก นอกจากเฝ้าฝันถึงตุ๊กตามหัศจรรย์

อาการตื่นตระหนกและกระชับมือแม่แน่นของรุ่นน้องอนุบาลหนึ่งปีนี้ที่เธอเดินกระโปรงฟูผ่านหน้าเข้าโรงเรียนไป

เหมือนจะไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรยิ่งใหญ่ต่อเธอเลย

ตุ๊กตาราคาเท่าค่าขนมครึ่งเดือนมันเป็นเรื่องใหญ่โตเสียนักแล้วในชีวิตขณะนั้น

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

3.

เสียงกำชับจากคุณครูประจำชั้นป.4ของเธอที่ใครๆก็รู้ว่าโหดที่สุดในโรงเรียน ยังดังก้องอยู่ในหู

พรุ่งนี้คุณครูนัดส่งงานประดิษฐ์ที่เธอยังไม่ได้ลงมือทำ (แต่แม่กำลังลงมือทำอยู่)

บอกแม่ว่าเธอนอนไม่หลับแน่ๆ แต่เธอก็นอนหลับไปหลังจากที่รู้ว่าแม่จะต้องทำมันจนเสร็จให้เธอให้ได้

ไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำกับอดีตตุ๊กตามหัศจรรย์ที่นอนไส้หลุดอยู่ในลังเก่าหลังตู้

(ครึ่งเดือนต่อมาหลังจากพบกันครั้งแรก เธอก็ได้มันมานอนกอด

โดยช่วยกันออกคนละส่วนกับพ่อ เธอออกเงินจากการอดออมของตัวเองตลอดครึ่งเดือนซึ่งมีจำนวนเท่าค่าขนมครึ่งวัน ส่วนที่เหลือพ่อเป็นคนรับผิดชอบ)

สำหรับคืนนั้น เรื่องงานประดิษฐ์ของครูจอมโหดดูจะเป็นเรื่องใหญ่โตเสียยิ่งนักจนเธอเก็บไปนอนฝัน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

4.

เสียงล้อรถคันใหญ่ที่เคลื่อนตัวออกจากสนามหญ้าของโรงเรียนเหมือนเสียงหัวใจเธอที่โลดไปข้างหน้า

มันเป็นปีแรกที่โรงเรียนจะไปจัดค่ายพักแรมนอกสถานที่

ถึงจะไกลออกไปไม่กี่ป้ายรถเมล์ แต่มันก็ชวนตื่นเต้นอยู่ดี

ใบหน้าโหดของครูประจำชั้นป.สี่ที่มาคุมรถวันนี้

กลับแลดูแจ่มใสใจดีสำหรับเด็กชั้นประถมปีสุดท้ายของโรงเรียนเช่นเธอ

งานประดิษฐ์ที่ได้รับคำชื่นชมว่าสวยเกินฝีมือเด็กป.สี่เมื่อสองปีก่อน

เป็นความทรงจำที่เกือบที่เลือนรางไปเสียแล้ว

ในวินาทีนี้เธอไม่ได้คิดถึงอะไรนอกไปจากค่ายพักแรมที่รออยู่ข้างหน้า

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

5.

เสียงสัมภาษณ์ของอาจารย์หน้าดุที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำให้เธอสั่นไปหมด

ทั้งที่แม่ก็ลองซ้อมคำสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนมัธยมของมุสลิมแห่งนี้ให้แล้ว แต่ก็อดประหม่าไม่ได้

และทั้งที่เมื่อคืนนี้ เธอได้ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่การเตรียมตัวมาในวันนี้

ไม่สนใจอาการเห่อของน้องชายวัยประถมที่กำลังจะไปเข้าค่ายพักแรมเป็นครั้งแรกของชีวิตเลย

มันจะอะไรนักหนากับอีแค่ไปข้างคืนนอกโรงเรียน

วินาทีนี้ไม่เห็นมีอะไรจะเป็นเรื่องใหญ่มากไปกว่าคำสัมภาษณ์ยากชะมัด ของอาจารย์หน้าดุ

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

6.

เสียงกระซิบกระซาบของเพื่อนที่ดังมาจากอีกฝั่งกำแพงทำให้เธอต้องตัดสินใจ

การหนีออกจากโรงเรียนในวันที่ผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้ไม่น่าจะมีใครสังเกตเห็นหรอกน่า

เธอพยายามปลอบใจตัวเอง…ก่อนที่จะตัดสินใจกระโดดข้ามกำแพงเตี้ยตามเพื่อนออกไป

หัวใจโลดขึ้นเมื่อพบใครบางคนเดินมาข้างหลัง

หากเพียงเหลียวหลังไปมอง ก็ยิ้มออกมาได้

แค่เด็กในชุดประถมที่จะมาสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนในวันรับเพิ่ม…วันนี้

หน้าตาของว่าที่รุ่นน้องยังมีร่องรอยความตื่นเต้นและแสนประหม่า

จนเธออยากจะปลอบว่า…ไม่ต้องห่วงหรอกน้องเอ๋ย โรงเรียนนี้เขารับทุกคนแหละ

แต่วินาทีนี้ เธอไม่นึกอยากทำอะไรมากไปกว่ารีบออกไปให้พ้นเสียจากที่ตรงนี้

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

7.

เสียงแนะนำ-โน้มน้าวของอาจารย์ฝ่ายแนะแนวการศึกษาหน้าชั้นเรียน

ไม่ได้เป็นที่สนใจของเธอมากกว่าเสียงพูดคุยกันของเพื่อนๆ

ทุกคนในกลุ่มตัดสินใจจะเลือกเรียนสายวิทย์ในปีการศึกษาหน้า

แต่เธอยังลังเล…ค่าที่ชอบเรียนภาษามากเสียเหลือเกิน

เมื่อเช้ามีเรื่องรุ่นน้องถูกลงโทษหน้าแถวเพราะหนีออกนอกโรงเรียน

แต่เธอแทบไม่ได้สนใจเพราะประหวัดคิดถึงแต่เรื่องการตัดสินใจเลือกสายเรียนในระดับชั้นมัธยมปลาย

มันเป็นเรื่องที่เธอต้องคิดหนักจริงๆ ระหว่างเลือกในสิ่งที่ตัวเองรัก กับเพื่อนที่รัก

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

8.

เสียงประธานนักเรียนอ่านดุอาอฺปิดประชุมสภานักเรียน

ไม่ได้ทำให้ห้องประชุมความกังวลในหัวใจเธอถูกปิดลงด้วย

จะปิดได้ยังไง…ในเมื่องานสารพัดอย่างถูกสุมลงมาที่ฝ่ายวิชาการอย่างเธอจนแทบจะมองไม่เห็นทางสะสาง

เมื่อพ้นห้องประชุมออกมา..รุ่นน้องมัธยมต้น2-3 คนก็รุดเข้ามาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกสายเรียน

เธอแนะนำอย่างง่ายๆว่าให้เลือกในสิ่งที่ตัวเองถนัดและอยากเรียน…เหมือนที่เธอเคยเลือกไม่ต้องตามเพื่อน

เพราะสุดท้ายความต่างทางสายการเรียนมันเป็นอะไรที่เล็กน้อยมากในระหว่างความเป็นเพื่อน

เธอบอกเพิ่มอย่างจริงจังด้วยว่าพอขึ้นสู่ชั้นมัธยมปลาย เรียนสายไหนก็เป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น

เพราะมีงานอันใหญ่โตในสภานักเรียนรอคอยทุกคนอยู่

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

9.

เสียงอาจารย์ใหญ่กล่าวปัจฉิมนิเทศดังกังวานไปทั่วแต่ เช่นเคย-ไม่มีใครสนใจฟัง

เธอเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในหัวของเพื่อนนักเรียนชั้นปีสุดท้ายที่นั่งหน้าสลอนอยู่ด้วยกันตอนนี้คงไม่ต่างไปจากในหัวของเธอ

นั่นคือมีแต่เรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึง

แม้แต่คำปรึกษากิจกรรมด้วยสีหน้าจริงจังของรุ่นน้องสภานักเรียนก็ดูเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรยากลำบากเลย

ก็การเข้ามหาวิทยาลัยมันเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตการศึกษาของเด็กๆ

และยังเป็นการแข่งขันทางการศึกษาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ทุกคนเคยผ่านมานี่

พวกเราก็ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว วางแผน และครุ่นคิด

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

10.

เสียงว๊ากของรุ่นพี่ในบรรยากาศทึบทึมของห้องเชียร์ทำให้หัวใจเธอหดหู่บอกไม่ถูก

เธอเพิ่งเคยพบกับกิจกรรมเช่นนี้เป็นครั้งแรก และแน่ใจว่าจะต้องไม่มีครั้งที่สอง

เธอยอมเสียเวลาตลอดเดือนแรกๆของชีวิตนักศึกษาไปกับการครุ่นคิดเรื่องหนีห้องเชียร์ และหาเพื่อนให้ได้โดยไม่ต้องผ่านกิจกรรมนรกชนิดนี้

ดังนั้น เมื่ออาจารย์แนะแนวของโรงเรียนเก่าเชิญไปพูดแนะนำการเตรียมตัวสอบให้รุ่นน้องม.6 เธอจึงบอกว่า…

การเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นอะไรที่ยากเย็นไปกว่าการเตรียมตัวใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย

เธอใส่ประเด็นเรื่องกิจกรรมรับน้องและความเพี้ยนสุดๆของมันเสียจนเต็มเวลาคาบแนะแนว

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

11.

เสียงฮะละเกาะฮฺของรุ่นพี่มุสลิมะฮฺในชมรมมุสลิมก่อให้เกิดความสงบใจอย่างประหลาด

เธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นภายในตัวเองตลอดระยะเวลาที่ผูกพันกับชมรมแห่งนี้

และกับสิ่งที่เธอกำลังคิดอย่างแน่วแน่ หลังจากศึกษาและอิสติคอเราะฮฺมาจนพบความมั่นคงในหัวใจ

เธอจะปิดหน้า…ดูเหมือนจะเป็นคนแรกของคณะที่เรียน นั่นไม่สำคัญหรอก

สิ่งที่เธอครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจังคือคำอธิบายต่อที่บ้านที่ดูจะยังไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ต่างหาก

มันเป็นเรื่องที่กินพื้นที่ในสมองส่วนใหญ่ของเธอไปในเวลานี้

แม้เมื่อรุ่นน้องมุสลิมปีหนึ่งในคณะเข้ามาถามถึงวิธีหนีประชุมเชียร์

เธอก็ยังอาสาเข้าไปคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันซึ่งเป็นพี่เชียร์ให้ โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องหนักหนาอะไรเลย

การไม่เข้าห้องเชียร์ในสายตาของคนที่ผ่านชีวิตปีหนึ่งมาแล้วเช่นเธอเป็นอะไรที่เล็กน้อยและเด็กมาก

โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เธอมีเรื่องปิดหน้าที่จะต้องใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง และมอบหมายต่ออัลลอฮฺอย่างหนักหนา

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

12.

เสียงอาจารย์ที่ต่อว่าเธอกลางห้องเรียนวิชาสัมมนาอันแสนเกลียดยังดังก้องอยู่ท่ามกลางน้ำตาริน

เธอไม่เคยเรียนอะไรที่มหาหินกับอาจารย์มหาโหดขนาดนี้มาก่อน

นึกอยากจะลาออกกลางเทอมสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาเสียให้รู้แล้วรู้รอด

มันเป็นอารมณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวยิ่งกว่าที่เคยไม่ไหว

ดังนั้นเมื่อน้องมุสลิมะฮฺในชมรมมาปรึกษาเรื่องจะปิดหน้า เธอจึงบอกว่าถ้ามั่นใจว่ามันดีกว่าก็ทำเถอะ

ที่นี่เขาให้เสรีภาพเราสูงจะตายในเรื่องนี้ ไม่มีปัญหาเลย เรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญตางหาก ที่เราต้องทำให้ดี

ก็อย่างเรื่องเรียนที่เธอกำลังปวดหัวและปวดหัวใจเจียนตายอยู่นี่ไง

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

13.

เสียงเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันที่ทยอยได้งานกันไปหมดแล้วทำให้เธอสูดลมหายใจให้เต็มปอดอีกครั้ง

เธอต้องทำได้ซิ…กับแค่ไปสัมภาษณ์งานทั้งที่ปิดหน้ามันจะกระไรนัก อัลลอฮฺจะต้องช่วยเหลือเธอ เธอเชื่อมั่น

เอกสารเกี่ยวกับบริษัทที่จะไปสัมภาษณ์ยังวางกองอยู่บนโต๊ะ

และมันทำให้เธอรู้ว่าวิชาสัมมนาในรั้วมหาวิทยาลัยที่แสนยากนั้น

ไม่ได้ยากไปกว่าวิชาชีวิตจริงในมหาวิทยาลัยชีวิตเลย

แต่เธอต้องทำได้…พยายามเรียกความเชื่อมั่นของตัวเองกลับมา และทุ่มเวลาไปกับการเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานอย่างจริงจังที่สุด

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

14.

เสียงเยาะเย้ยถากถางจากเพื่อนร่วมงานตรงห้องกาแฟหัวมุมโน้นดังมาอีกแล้ว

เธอพยายามอดกลั้นจนถึงที่สุด แต่ทุกสิ่งย่อมมีจุดเดือดของมันและตอนนี้จุดนั้นกำลังจะดังกริ๊งอยู่ในหัวเธอ

ไม่ใช่ไม่เคยอธิบาย แต่บางพฤติกรรมที่เกิดจากอคติของบางคนนั้นไม่ต้องการคำอธิบาย

เมื่อประกอบกับความอึดอัดทั้งในใจตนและในสีหน้าของเจ้านายชายกลางคน

ตอนที่เธอขอให้เขาออกมาพูดธุระกับเธอที่นอกห้องส่วนตัว

ทำให้แผนที่อยู่ในหัวของเธอยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที และทุกที

มันคงจะไม่ใช่ที่อยู่ของมุสลิมะฮฺอย่างเธอจริงๆนั่นแหละ สำหรับบริษัทแห่งนี้

บทสัมภาษณ์ที่เธอเตรียมตัวเป็นอย่างดีและทุ่มเททุกอย่างให้เมื่อสองเดือนก่อน

ไม่มีน้ำหนักอะไรพอจะฉุดรั้งเธอไว้ได้อีกแล้ว

ตอนนี้เธอได้ทุ่มความคิดและทั้งหมดของสิ่งที่ต้องทำไปที่ซองสีขาวและแบบฟอร์มจดหมายลาออก

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

15.

เสียงร่ำไห้แผ่วเบาของเพื่อนมุสลิมะฮฺที่ผ่านสายโทรศัพท์มาทำให้เธอช็อค

ใช่ เธอช็อค และรู้สึกร้าวไปทั้งอก เมื่อทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น

เธอไม่รู้ว่าความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจระหว่างเราเกิดขึ้นที่ตรงไหนและทำไมมันเจริญเติบโตเร็วนัก

เราเคยทำงานร่วมญะมาอะฮฺเดียวกัน แม้ไม่มีชื่อกลุ่ม หรือชื่อปฏิบัติการอะไร

แต่ก็เป็นที่รับรู้ว่าเราอยู่ญะมาอะฮฺเดียวกัน

เธอเกลียดความขัดแย้ง โดยเฉพาะความขัดแย้งแบบผู้หญิงที่ไม่ยอมพูดอะไรกันซึ่งๆหน้า แต่กลับเอาไปพูดลับหลัง

มันเป็นความเจ็บปวดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต

ที่ทำให้การเดินออกจากบริษัทเงินเดือนงามเมื่อปีก่อนดูเป็นเรื่องเล็กจิ๋วเหมือนลูกปลาซิวคลอดก่อนกำหนด

ความขัดแย้งระหว่างเรากับกาฟิรจะมีน้ำหนักอะไรเมื่อเทียบกับความไม่เข้าใจระหว่างเรากับพี่น้องมุสลิมด้วยกัน

นี่ถ้าเธอไม่ลงทุนต่อสายมาเคลียร์กันแบบตรงๆ

คงไม่รู้ว่ามีเรื่องที่เพื่อนไม่เข้าใจความคิดของเธอมากมายจนออกปากว่า คงทำงานร่วมกันต่อไปไม่ได้แล้ว

มันเป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เธอถึงกับเซทำอะไรไม่ถูกและเสียเวลาทรงตัวอยู่ระยะหนึ่ง

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

 

16.

เสียงอิญาบ-กอบูลของผู้ชายสองคนในมัสญิดซึ่งมีชื่อเธอรวมอยู่ในทั้งสองประโยคนั้นราวกับจะดังก้องอยู่ในหัวและหัวใจ

ใช้เวลาไม่นานเลยจริงๆกับการกระทำการตามขั้นตอนของอิสลาม และมอบหมายต่ออัลลอฮฺอย่างสุดหัวใจ

ชีวิตครอบครัวที่จะเกิดขึ้นหลังจากวินาทีนี้เป็นสิ่งที่นำความรู้สึกมหัศจรรย์มาให้ จนลืมสิ้นแทบทุกเรื่อง

ลืมแม้แต่คำพูดว่าคงทำงานร่วมกันต่อไปไม่ได้แล้ว ของคนที่เข้ามาสวมกอดแสดงความยินดี

มันอาจเป็นเพียงอารมณ์ชั่วครู่ของผู้หญิง ที่ได้รับการสุมไฟจากชัยฏอนวายร้ายด้วยกระมัง

…สำหรับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาพูดหรือนึกถึงในวันนี้มิใช่หรือ

วันที่เธอมีอะไรหลายอย่างต้องคิด และต้องทำเพื่อชีวิตใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา

และก็คงจะใช้อีกมากมายวินาทีหลังจากนี้ไปเพื่อมัน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

17.

เสียงอะไรบางอย่างภายในที่กระทุ้งผิวเนื้อของท้องนูนนำพาความรู้สึกประหลาดที่สุดในชีวิตมาให้

เป็นความรู้สึกผ่อนคลายที่มาพร้อมกับความรู้สึกหนักหน่วงเหลือรับ

เธออ่านอายะฮฺอัลกุรอานที่พูดเกี่ยวกับพัฒนาการของชีวิตน้อยๆในครรภ์พอดี

ตอนที่ผู้อยู่ภายในกระทุ้งเหมือนตอบรับ

มันเป็นความรู้สึกยิ่งใหญ่เสียจนเธออยากจะไปป่าวร้องให้น้องๆที่ชอบเข้ามาถามเกี่ยวกับสารพัดแนวคิดเรื่องคู่ครอง

และการเตรียมตัวเพื่อครองคู่ได้รู้ว่า…

สิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมายยิ่งกว่าการมัวแต่เลือกอยู่นั่น คือความรู้สึกนี้ และภารกิจนี้ต่างหาก

ตอนนี้เธอมุ่งความสนใจทั้งหมด และความวิตกกังวลทั้งสิ้นไปที่ชีวิตน้อยๆในครรภ์

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

18.

เสียงร้องของเด็กตัวแดงผู้นั้นไม่ดังเลยในห้องคลอดมิดชิดแต่ดังนักในห้องหัวใจอันสว่างโร่

มันเป็นความเจ็บปวดที่ชวนอิ่มเอมที่สุด ไม่สามารถหาคำบรรยายได้

และราวกับความเจ็บปวดทั้งหมด ความวิตกกังวลทั้งมวลตลอดเก้าเดือนที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องที่ถูกลืมไปเสียสนิทแล้ว

วินาทีนี้ เจ้าของเสียงร้องเมื่อครู่ต่างหากที่กินเนื้อที่ความสนใจและทั้งหมดแห่งความปรารถนาในชีวิตของเธอไป

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

19.

เสียงร้องจ้าไม่หยุดที่มาพร้อมกับไข้ที่สูงขึ้นทุกทีของเด็กชายในอ้อมแขนทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจตนเป็นไข้สูงไปด้วย

เธอขอดุอาอฺให้ความเจ็บปวดของเด็กชายมาลงอยู่ที่เธอเสียยังจะดีกว่า

ความเจ็บปวดแม้อย่างที่สุดในยามคลอดเขาออกมายังไม่ได้เทียบเท่าหัวใจรอนๆในตอนนี้

และพร้อมจะเจ็บปวดเช่นนั้นแล้วเช่นนั้นอีกด้วยซ้ำแค่ขอให้ไข้ของคนในแขนลดลงสักหนึ่งองศา

พาหนะที่พุ่งไปสู่โรงพยาบาลคงเร็วที่สุดแล้วสำหรับคนขับ แต่มันยังไม่ทันใจเธออยู่ดี

ไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งใดในห้วงความคิดของเธอเลย ณ วินาทีนี้

…นอกจากคำวิงวอนที่เกี่ยวข้องกับอาการของร่างในอ้อมแขน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

20.

เสียงใสที่อ่านอัลกุรอานอย่างพยายามจะให้ชัดที่สุดเป็นเสียงที่ไพเราะสำหรับเธอยิ่งกว่าเสียงของเชคคนไหนๆในโลก

เธอเริ่มคิดเรื่องการวางแผนการศึกษาให้เขาอย่างจริงจังด้วยตัวเอง

ตระหนักในตอนนี้เองว่า ความเจ็บป่วยใดใดที่อัลลอฮฺได้รักษาชีวิตของเขาให้ผ่านพ้นมาจนวันนี้

ไม่ได้หนักหน่วงมากไปกว่าการจะรักษาชีวิตของเขาให้คงมั่นอยู่ในแนวทางนี้ตลอดไป

การที่เขามีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่สำคัญมากไปกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร

และการให้การศึกษากับเขา ให้เขาได้รู้จักทางนำที่จริงแท้ของชีวิตดูจะเป็นทางรอดเดียวที่เธอแน่ใจ

มันเป็นเรื่องที่เธอต้องทุ่มเทเวลาคิดย่างหนักหน่วงและรอบด้าน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

21.

เสียงคำขานชื่อโรคภัยนั้นเป็นไปอย่างเห็นอกเห็นใจและให้กำลังใจอยู่ในที

เธอยอมรับว่ารู้สึกช็อกกับชื่อโรคที่ทุกคนในทศวรรษนี้หวาดกลัว

แม้ว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรงหน้าจะยืนยันว่ามันสามารถรักษาให้หายได้

คนข้างๆบีบมือให้กำลังใจ  และจังหวะนั้นเองที่ทำให้เธอตั้งสติได้

แผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมดทั้งในเรื่องลูก…คนที่สำคัญที่สุดในชีวิต และเรื่องอื่นๆจะไม่มีน้ำหนักอันใดเลย

ถ้าเธอไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ให้ผ่านพ้น

ดังนั้นเธอจะใช้เวลาและความจริงจังในการต่อสู้กับมันด้วยดุอาอฺ ด้วยหัวใจ และทุกๆวิธีการรักษา

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

22.

เสียงจ๊อกแจ๊กเต็มชีวิตเติมชีวาของเด็ก ๆ ที่รายรอบทำให้เธอรู้สึกชื่นบานขึ้นมาได้

ในวันวัยที่ดูจะไม่มีอะไรให้ชื่นบานมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ลูกๆ และครอบครัวของพวกเขานั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าสรวลเสเฮฮานัก

ญาติมิตรยังคงถามไถ่ถึงประสบการณ์โรคภัยร้ายแรงในอดีตว่าเธอผ่านพ้นมันมาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร

เธอยังคงไม่เหนื่อยที่จะตอบมันด้วยน้ำเสียงราวกับโรคที่เป็นนั้นก็เพียงชนิดหนึ่งของเชื้อหวัด

มันผ่านไปแล้ว ใช่ มันผ่านไปแล้วด้วยอนุมันติของอัลลอฮฺเท่านั้น

ตอนนี้ ชีวิตเธอก็ได้แต่นั่งดูหลานๆในชุดกระโปรงฟูฟ่องวิ่งไปมา

สังเกตสรรพสิ่ง ละหมาดอย่างเอาใจใส่ และเตรียมตัวอย่างเต็มที่สำหรับวันที่จะถูกนำไปละหมาด

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

 

23.

เสียงร้องเท้าคู่สุดท้ายที่ตามมาส่งเธอค่อย ๆ เงียบหายไปในความสงัดเงียบ

มันเป็นวินาทีที่ไม่มีคำบรรยาย ไม่มีใครรับรู้ ไม่มีผู้ช่วย ทั้งไม่มีทางอื่นใดให้เร้นหนี

คำถามที่จะเกิดขึ้นหลังจากวินาทีนี้คงไม่ใช่คำถามของมนุษย์อีกแล้ว

และเธอก็ได้ตระหนักในวินาทีนี้เองว่า…

ก่อนหน้านี้…ชีวิตเธอไม่เคยเจอเรื่องอะไรที่ใหญ่โตมากกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้เลย…ไม่เคย!

 

………………………จบ………………………

 

 

ห้องเรียนตัวอักษร (1)

อนที่๑ –  เพิ่มสีสันให้งานเขียนด้วยการใช้คำเปรียบ

 

แม้ว่าระยะนี้จะเป็นระยะวิกฤติของข้าพเจ้าสำหรับการใช้ไวยากรณ์ในงานเขียน ไม่ใช่เพราะรู้สึกคลื่นเหียนกับคาวเลือดในข่าวสารบ้านเมืองตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทว่าเพราะงานอันถล่มทะลายเข้ามาในโกดังสมองจนระบบการตรวจสอบต่าง ๆ เกิดอาการรวนไปบ้าง กระนั้นก็ดี ข้าพเจ้ายังมีความหาญกล้า ไม่แคร์สื่อมากพอที่จะขออนุญาตเปิดพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับพูดเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับงานเขียนขึ้นมา ณ ที่นี้ เนื่องด้วยมีคำถามเกี่ยวกับการเขียนหลายประการจากพี่น้องหลายคนเข้ามาถึงข้าพเจ้า ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดพี่น้องจึงเข้าใจว่าข้าพเจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะตอบคำถามเหล่านั้นได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่ค่อนข้างจะเฎาะอีฟในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีเป็นอย่างยิ่ง คือนอกจากไม่ค่อยรู้ในบททฤษฎีส่วนมากแล้ว ก็ยังชอบละเมิดในทฤษฎีส่วนน้อยที่ได้รู้อีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นว่าการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทักษะในการเขียนก็ยังมีความจำเป็นอยู่บ้าง และอยู่มากในหลาย ๆ กรณี โดยเฉพาะสำหรับคนที่เลือกใช้ช่องทางนี้เป็นช่องทางหนึ่งในการดะอฺวะฮฺ แน่นอนว่าเจตนาอันบริสุทธิ์ใส และการขอความช่วยเหลือจากผู้ทรงช่วยเหลือจะต้องเป็นจุดเริ่มแรกของงานชนิดนี้ และทุกชนิดของชีวิตเรา ทว่าการฝึกปรือวิทยายุทธิ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มคุณภาพให้งานของเราก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ไม่ควรจะถูกละทิ้งสำหรับทุกช่องทางการดะอฺวะฮฺรวมถึงการดะอฺวะฮฺผ่านงานเขียนด้วย เพราะงานที่เราจะนำเสนออัลลอฮฺควรเป็นงานที่ประณีตที่สุด และมีคุณภาพคับแก้วที่สุด ว่าดังนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงเห็นควรจะพูดคุยถึงเรื่องทักษะต่าง ๆในการเขียนบ้าง เพื่อเพิ่มคุณภาพให้งานเขียนเชิงดะอฺวะฮฺของเรา และเพื่อข้าพเจ้าจะได้สะสางอมานะฮฺที่เกี่ยวเนื่องกับคำถามของพี่น้องให้พ้นผ่านไปด้วย โดยการโยนงานประการนี้เข้าสู่วงแลกเปลี่ยนของเรา (ถ้าเผื่อว่ามันจะมีผู้เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยน) เพราะลำพังข้าพเจ้าเองถ้าให้พูดไปก็คงจะได้แต่น้ำเป็นส่วนมาก จะหาเนื้อชิ้นโตได้ก็คงจะยากยิ่ง ดังนั้นพี่น้องท่านใดมีอะไรอยากร่วมแลกเปลี่ยนในห้องเรียนเล็ก ๆ นี้ ก็ขอกล่าวสั้นๆ จากใจจริงว่า “ตะฟัฎฎ้อล” (แปลว่า เชิญจ้า)

 

ทั้งนี้หัวข้อที่จะหยิบมาพูดคุยในแต่ละคาบเรียนจะยึดตามอารมณ์ของข้าพเจ้าเป็นสำคัญ (แต่พี่น้องที่มีหัวข้ออยากนำเสนอก็ขอกล่าวว่า ‘ตะฟัฎฎ้อล’ อีกที) และการพูดคุยนี้ก็ไม่ได้จริงจังอะไร อาจคุยแต่ละหัวข้อติด  ๆกันไปเรื่อย ๆ หรืออาจเว้นระยะไปเป็นปีก็แล้วแต่สถานการณ์ ทั้งการเรียงหัวข้อก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักสูตรอะไรนอกจากหลักสูตรมู้ดของข้าพเจ้าเอง สำหรับหัวข้อแรกที่จะพูดคุยในครั้งนี้ คือ หัวข้อที่เกี่ยวกับกลวิธีง่าย ๆ อย่างหนึ่งในการเขียน ซึ่งมีคุณค่าต่องานเขียนมากเหมือนกัน(ถ้าใช้เป็น) ทั้งเป็นกลวิธีที่เราพบมากทั้งในกุรอานและหะดีษด้วย นั่นก็คือการใช้คำเปรียบเปรย

 

 

ตอนที่๑ –  เพิ่มสีสันให้งานเขียนด้วยการใช้คำเปรียบ

 

‘คำเปรียบ’ หรือคำ ‘เปรียบเปรย’ ที่เรากำลังจะพูดถึงกันน่าจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ถูกเรียกในหนังสือทั่ว ๆไปด้วยคำว่า ‘อุปมาอุปไมย’ ซึ่งอาจารย์ภาษาไทยย่อมยอมไม่ได้เด็ด ๆ ที่จะปล่อยหัวข้อนี้ผ่านไป โดยไม่เพิ่มเติมให้ชัดเจนลงไปอีกว่าโวหารที่ใช้ในการเปรียบเปรยนี้จะแยกย่อยออกได้เป็น “อุปลักษณ์” ซึ่งคือการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง มักมีคำว่า ‘เป็น’ หรือ ‘คือ’ เช่น การละหมาดเป็นเสาหลักของศาสนา ศาสนาคือการตักเตือน ส่วน “อุปมา” คือการเปรียบสิ่งหนึ่งเหมือนอีกสิ่งหนึ่ง มักมีคำว่า ดั่ง ดุจ เหมือน ราว เช่น คล้าย ประหนึ่ง ฯลฯ เช่น คนที่ไม่รำลึกถึงอัลลอฮฺเปรียบเหมือนคนตาย  เวลาเป็นดั่งดาบถ้าท่านไม่ตัดมันมันจะตัดท่าน เอาล่ะ เราจะปล่อยอาจารย์ภาษาไทยทิ้งไว้ในบรรทัดนี้ แล้วหันมาคุยกันเรื่องงานเขียนเชิงดะอฺวะฮฺในสนามจริงซึ่งคงมีคนอ่านน้อยคนมาก ๆ ที่อ่านข้อเขียนของเราแล้วจะมานั่งวิเคราะห์ว่าโวหารที่เราใช้นั้นเข้าข่าย ‘อุปลักษณ์’ หรือ ‘อุปมา’

 

                การใช้ ‘คำเปรียบ’ นอกจากจะเป็นการสร้างสีสันให้งานเขียนไม่จืดชืดเกินไปแล้ว ยังเป็นการช่วยสร้างภาพให้แก่ผู้อ่านด้วยอีกกระทง ดังนั้นสิ่งที่เรานำมาเปรียบควรจะเป็นอะไรที่ให้ภาพและความรู้สึกที่ต้องการสื่อได้อย่างชัดเจน

          สหรัฐฯกับอิสราเอล ก็เหมือนกองอุจจาระกับแมลงวัน อยู่ตรงไหนก็น่ารังเกียจและพึงกำจัด

       น้ำใจของผู้คนยุคปัจจุบันอยู่ในภาวะวิกฤติ ปริมาณของมันแห้งขอดลงรวดเร็วพอกับแม่น้ำโขง ส่วนคุณภาพก็ไม่ต่างอะไรกับคลองแสนแสบ

 

ที่จริงแล้วในสังคมทั่ว ๆ ไปก็จะมีคำเปรียบอันเป็นที่รู้กันอยู่มากมาย เช่น “หน้างอเป็นม้าหมากรุก”“ใหญ่โตเหมือนภูเขาเลากา”  “เรียบร้อยเหมือนผ้าที่พับไว้” ฯลฯ คำเปรียบพวกนี้พอพูดปุ๊บคนอ่านก็เข้าใจความหมายได้ปั๊บ แต่ในบางกรณี ถ้าเราสามารถหาคำเปรียบที่แปลกหูแปลกตาออกไปได้บ้าง มันก็จะเพิ่มสีสันให้งานเขียนได้พอสมควร ลองเปรียบเทียบสองประโยคนี้

       ภรรยาที่ดีควรพูดจาให้หวานเหมือนดอกไม้ หรือถ้าอยู่ในภาวะอารมณ์โกรธ อย่างน้อยก็ควรนิ่งไว้ให้เป็นกิ่งไม้ธรรมดา อย่าได้ผุดพรายหนามขึ้นถึงขั้นเป็นกระบองเพชรคอยทิ่มตำเลย

       ภรรยาที่ดีควรพูดจาให้เหมือนน้ำหวานเฮลส์บลูบอย หรือถ้าอยู่ในภาวะอารมณ์บ่จอย อย่างน้อยก็ควรนิ่งไว้ให้เป็นน้ำจืดธรรมดา อย่าได้แอดวานซ์ถึงขั้นแปลงตัวเป็นน้ำปลาเลย

(หมายเหตุ : กรุณาดูกาละและเทศะประกอบการนำเสนอด้วย)

 

                จะเห็นได้ว่าหลายครั้งการใช้คำเปรียบเปรยในงานเขียนไม่จำเป็นต้องใช้คำเชื่อมที่ชัดเจน แต่รูปประโยคจะบอกเซนส์ของการเปรียบเทียบให้ผู้อ่านทราบเอง นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่เรานำมาใช้เปรียบเปรยยังอาจกลายเป็นการให้ความรู้หรือดะอฺวะฮฺไปได้ในตัวด้วย เช่น

          เมื่อเธอเดินอยู่ในหนทางสู่ความรู้ จงเป็นเสมือนลูกหลานของท่านหญิงอาอิชะฮฺ

เมื่อเธอสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ในครัว จงเป็นเสมือนลูกหลานของท่านหญิงฟาติมะฮฺ

เมื่อเธอยืนอยู่ต่อหน้าศัตรูของอัลลอฮฺ จงเป็นเสมือนลูกหลานของท่านหญิงนะซีบะฮฺ

เมื่อเธอยื่นมือออกบริจาค จงเป็นเสมือนลูกหลานของท่านหญิงซัยหนับ

เมื่อเธอกำลังเผชิญทางเลือกในการยืนหยัดเพื่อศาสนาของอัลลอฮฺ จงเป็นเสมือนลูกหลานของท่านหญิงสุมัยยะฮฺ

เมื่อเธอเป็นผู้ยืนอยู่เคียงข้างผู้ทำงานรับใช้อิสลาม จงเป็นเสมือนลูกหลานของท่านหญิงคอดีญะฮฺ

เมื่อเธอไกวเปลให้ทหารตัวน้อยๆของอัลลอฮฺ จงเป็นเสมือนลูกหลานของท่านหญิงคอนซาอฺ

ข้อความเหล่านี้แม้จะนับเป็นการให้ และ/หรือ ทบทวนความรู้ไปด้วยในตัว แต่ก็อาจต้องอาศัยพื้นฐานความรู้ของผู้อ่านในระดับหนึ่ง ว่าซอฮาบียะฮฺแต่ละท่านที่ถูกเอ่ยนามมีประวัติและจุดเด่นตรงไหน การเปรียบเทียบในลักษณะนี้จึงต้องดูกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้รับสารด้วย

 

ลูกเล่นอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับคำเปรียบเปรยคือการใช้เรื่องราวที่เป็นสถานการณ์ปัจจุบัน หรือบุคคลสาธารณะมาเป็นตัวเปรียบ ด้วยคุณสมบัติหรือรายละเอียดอันเป็นที่รู้กัน

          ทุกครั้งที่ฟังอิสราเอลพูดเรื่องเสรีภาพ ฉันรู้สึกคลื้นไส้เหมือนฟังทักษิณพูดว่าตัวเองไม่ได้โกง

–       แม้จะมีอะไรหลายอย่างคล้าย ๆ กัน แต่พิธีกรรมของชีอะฮฺนั้นเพี้ยนยิ่งกว่ามหกรรมการหลั่งเลือดของพวกเสื้อแดงเสียอีก

การใช้คำเปรียบเปรยเช่นนี้จะมีจุดแข็งที่ความน่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงที่เหตุการณ์อันถูกอ้างถึงยังสดใหม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเปรียบลักษณะนี้ก็มักจะโรยรารสชาติเหมือนอาหารค้างคืน ซึ่งนับเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่ง สำหรับใครที่ต้องการกำจัดจุดอ่อนประการนี้ ก็อาจเลือกใช้การเปรียบเทียบที่อิงกับสถานการณ์จริง แต่ไม่ขึ้นกับยุคสมัยแทน หมายถึงเป็นเรื่องราว หรือความเป็นไปที่ยังคงเกิดขึ้นทุกยุคสมัย เช่น

                – ทุกครั้งที่ฟังอิสราเอลพูดเรื่องเสรีภาพ ฉันรู้สึกคลื้นไส้เหมือนฟังนักการเมืองไทยพูดว่าจะไม่โกง

 

                อีกลักษณะหนึ่งของคำเปรียบเปรยที่นิยมใช้กันมากโดยทั่วไป แต่อาจต้องระมัดระวังหน่อยหากคิดจะนำมาใช้ในเชิงดะอฺวะฮฺ คือการเปรียบเปรยในลักษณะเสียดสี หรือที่ข้าพเจ้าจะขอเรียกว่า “แบบจิกกัด” ซึ่งถ้านำเสนอดี ๆ มันก็คือการวิพากษ์วิจารณ์สังคม หรือชี้ให้สังคมได้เห็นปัญหา แต่ถ้าพลาดพลั้งไปก็อาจเข้าข่ายพูดอย่างไม่มีฮิกมะฮฺได้เหมือนกัน การเปรียบเทียบเชิงเสียดสีที่ว่านี้ สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยนำสิ่งที่เห็นและเป็นไปในสังคมที่เรารู้สึกว่ามันออกจะเพี้ยน  ๆ มาเป็นตัวเปรียบเปรย

– มุสลิมบางคนเห่อตะวันตกยิ่งกว่าที่คนไทยเห่อหลินปิงเสียอีก

        – เมื่อมุสลิมะฮฺจะออกจากบ้านควรแต่งกายให้รัดกุมมิดชิด มิใช่แต่งองค์ทรงเครื่องราวกับจะไปขึ้นปกนิตยสารของชีอะฮฺฉบับนั้น

               

                จะเห็นได้ว่าการใช้คำเปรียบนั้น หลาย ๆ ครั้งมันก็คือการเอาความรู้ และทัศนคติของผู้เขียนมาสอดแทรกไว้ในบทความอย่างแยบยล ฉะนั้นในฐานะผู้เขียน ข้าพเจ้าคิดว่าเราไม่ควรจะละทิ้งการใช้โวหารประการนี้ที่นอกจากจะเพิ่มสีสันให้งานเขียนแล้ว ยังเป็นกลยุทธิ์ในการเพิ่มความเข้าใจ และเสริมเนื้อหาบางอย่างให้ผู้อ่านได้ด้วย ส่วนในฐานะผู้อ่าน เราก็ควรพิจารณาเนื้อหาต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง เพราะเนื้อหาและทัศนคติน่าอันตรายบางประการอาจถูกสอดแทรกอย่างเนียน ๆ มาในถ้อยคำที่ดูไม่สลักสำคัญอะไร แต่ซึมลึกอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเราก็เป็นได้

 

                ก่อนจะปิดห้องเรียนทุลักทุเลห้องนี้ ข้าพเจ้าใคร่ขอทิ้งท้ายด้วยการแจกแจงประเภทของคำเปรียบที่พึงหลีกเลี่ยงไว้สักนิดก็แล้วกัน

 

๑- คำเปรียบที่มีรายละเอียดมากเกินไป

                “ความไม่เข้าใจกันระหว่างพี่น้องมุสลิมประหนึ่งหยากไย่สีเทาอ่อนที่กองสุมกันมานานนับสิบปีในมุมอันมืดมิดและอับชื้นของบ้านหลังโตโอฬารที่ไม่มีใครอยู่อาศัยมาแรมเดือน” (>>กว่าคนอ่านจะอ่านจบประโยคเปรียบเทียบก็ลืมไปแล้วว่าเมนไอเดียที่ต้องการจะเปรียบคืออะไร)

 

๒- คำเปรียบที่ไม่เป็นที่รู้จัก

                “ฉันอยากให้มุสลิมทุกคนมีน้ำใจและมองโลกในแง่ดีเหมือนลุงอีซาคนขายโรตีข้างสุเหร่า” (>> แล้วข้าพเจ้าจะรู้จักลุงอีซาอะไรนี่ของท่านไหมคะ? ได้เป็นญาติกันหรือก็เปล่า?)

 

๓- คำเปรียบที่มีลักษณะไม่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับการตีความหรือรสนิยมของแต่ละคน เช่นเรื่องเกี่ยวกับความชอบส่วนตัว

                “มุสลิมะฮฺสามารถจะแต่งตัวสุดฤทธิ์สุดเดชได้เฉพาะก็แต่ต่อหน้าสามีของเธอเท่านั้น ไม่ใช่ในที่สาธารณะ ถึงแม้เธอจะมีรสนิยมการแต่งตัวดีเหมือนมิเชล โอบามาก็ตาม” (>> คนอ่านเช่นข้าพเจ้าที่ไม่เคยเอามิเชล โอบามา มาอยู่รวมหรือแม้แต่อยู่ใกล้เคียงกับคำว่า “รสนิยมดี” ย่อมจะงุนงง สงสัย ไม่เก็ทกับคำเปรียบนี้โดยสิ้นเชิง)

 

๓- คำเปรียบที่ไม่จริง หรือยังไม่รู้ว่าจริงหรือไม่

                “มุสลิมควรมองปัญหาเสื้อเหลือง-เสื้อแดงในฐานะคนนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใด ประหนึ่งมนุษย์ต่างดาวมองดูความโกลาหลของคนบนโลก” (>> ยังไม่มีใครยืนยันได้เลยว่ามีมนุษย์ต่างดาวจริง)

 

๔-คำเปรียบที่เสียดสีคนอื่นในเรื่องที่ไม่ควรเสียดสี

                “กระแสการดีเบทระหว่างผู้รู้ลุกลามไปเร็วเหมือนกระแสออกนอกมหาวิทยาลัยที่เด็กกลุ่มหนึ่งเคยพยายามสร้าง” (>> เอ่อ อยากจะบอกว่าเรื่องการเสียดสีนั้น มีอะไรที่ต้องระมัดระวังมากเหมือนกัน หลายครั้งการเปรียบเชิงเสียดสีอาจทำให้คนเปรียบนั่นแหละกลายเป็นผู้แลดูตลกไป)

 

๕-คำเปรียบที่บ่อยครั้งเกินไป

               ในบทความชิ้นหนึ่ง ๆ ไม่ควรมีการใช้คำเปรียบเทียบมากเกินไป เพราะมันจะดูละลานตา โดยเรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้เขียนเป็นสำคัญ

 

                คิดไม่ออกแล้ว ก็ขอจบห้องเรียนตัวอักษรคาบแรก ด้วยการเน้นย้ำว่า เจตนาอันบริสุทธิ์นั้นเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดในการดะอฺวะฮฺทุก ๆ ช่องทาง รวมถึงการดะอฺวะฮฺผ่านงานเขียนนี่ด้วย และแท้จริงแล้ว ทุกความสำเร็จนั้นมาจากอัลลอฮฺ ทุกตัวอักษร ทุกบรรทัด ทุกบทความ  ล้วนบรรลุผลสำเร็จออกมาได้ก็แต่ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ หน้าที่ของเราคือพยายามทำทุกงานอย่างประณีต พิถีพิถันที่สุดเท่านั้นส่วน ผลสำเร็จของงานมิใช่หน้าที่ของเราเลย  ก็หวังว่าห้องเรียนบรรยากาศประหลาด ๆ ห้องนี้จะมีส่วนช่วยอะไรได้บ้างในการสร้างงานเขียนเชิงดะอฺวะฮฺที่ประณีต และพิถีพิถันมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่เลือกจะทำงานในสนามนี้ อินชาอัลลอฮฺ

– สมรภูมิรถเมล์ –

 
 
 
 
 

มันเป็นวันร้ายๆของชีวิตเธอ!

                มัรญาณพึมพำดุอาอฺขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺเกือบตลอดเวลา ขณะยึดมุมหนึ่งของป้ายรถเมล์เป็นสถานพำนักแห่งความอึดอัดใจ เบื้องหน้าเธอคือแถวรถยาวเหยียดตั้งแต่สี่แยกไฟแดงที่เห็นอยู่ลิบๆด้านขวามือมาจนเกือบถึงอีกแยกต่อมาที่อยู่ถัดป้ายรถเมล์ไปทางด้านซ้ายหลายสิบเมตร

ทันทีที่สัญญาณไฟลิบตาทางขวามือเปลี่ยนจากสีแดงเป็นเขียว และขบวนรถใต้หมอกควันสีเทาทยอยไต่ตามกันไป มัรญาณก็ชะโงกหน้าไปทางขวาหวังว่าจะเห็นตัวเลขที่เธอรอคอยปะมาข้างหน้ารถเมล์คันใดคันหนึ่งที่เคลื่อนตัวมาจากสี่แยกทางนั้น แล้วเธอก็ได้เห็นมัน สายรถเมล์ที่จะนำพาเธอไปถึงห้องสอบในวันนี้ได้โดยไม่ต้องไปต่อรถที่ไหนอีก

 

สอบ!  นั่นแหละปัญหาใหญ่ของเธอในวันนี้ ปกติคนที่ชิงชังการเบียดเสียดบนรถเมล์อย่างเธอจะต้องวางแผนการเดินทางอย่างรัดกุมที่สุด เลือกออกจากบ้านในเวลาที่หลีกเลี่ยงชั่วโมงวิกฤติบนท้องถนนอย่างเต็มที่ แถมเผื่อเวลามานั่งเลือกรถเมล์คันที่มีพื้นที่ว่างเพียงพอจะคลายความชิงชังของเธอลงได้บ้าง ทว่าวันนี้นอกจากตารางสอบจะเริ่มต้นในโมงยามที่ยากจะเลี่ยงช่วงวิกฤติแห่งท้องถนนกรุงเทพฯได้แล้ว รถสายที่เธอมองหาแทบทุกคันยังล้วนแออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คนชนิดที่แทบจะไม่มีที่ยืนใดให้คนอย่างเธอได้นอกจากบนหลังคา

และมันก็ผ่านมาสามคันแล้ว ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เมื่อประตูเปิด หัวคนที่แทบจะชนกันบนบันไดรถก็ทำให้เธอเข่าอ่อนจนไม่อาจก้าวขึ้นไปได้ มัรญาณขอดุอาอฺอย่างหนักสำหรับคันที่สี่ที่กำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามานี้ มือที่กระชับกระเป๋าหนังสือชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเธอต้องยกขึ้นมาเช็ดกับกระโปรงพลีทตัวเก่ง แล้วรถคันที่สี่ของเธอก็แล่นเข้ามาเทียบด้านหน้า มัรญาณยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา ตัวเลขที่เข็มสีดำชี้ใส่ดวงตาบอกเธอว่า ไม่ว่าประตูที่กำลังจะเปิดขึ้นข้างหน้าจะฉายภาพอะไรให้เธอเห็น เธอก็ต้องก้าวเท้าเข้าไปภายในอย่างไม่มีทางเลือกอีกแล้ว

 

ประตูบานเลื่อนนั้นค่อยๆเปิดออก มัรญาณกือบจะร้องไห้ มันเป็นวันแห่งการทดสอบอย่างแท้จริง คนร่วมป้ายรถเมล์สามคนรุดหน้าไปก่อนเธอเพื่อแย่งชิงที่ยืนบนขั้นบันได เธอรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองลอยตามพวกเขาไปมากกว่าจะเป็นการตั้งใจเดินอย่างรู้ตัว อาแปะแก่ๆเป็นคนสุดท้ายของป้ายรถเมล์นั้นที่ได้ตามหลังเธอขึ้นไปในโรงงานปลากระป๋องเคลื่อนที่  แกคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆตอนที่ยึดจับราวบันได แล้วฉวยเอาชายผ้าฮิญาบผืนยาวของมัรญาณติดมือไปด้วย  ศีรษะของเธอเอนไปข้างหลังขณะที่เท้าก้าวไปข้างหน้า

ข้อดีอย่างเดียวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือมันทำให้น้ำตาบ้าๆหยดหนึ่งที่มัรญาณหมดปัญญาจะกลั้นกลับหายเข้าไปในดวงตาตอนที่หน้าถูกทำให้เงยง้ำตามแรงดึง

เธอดึงชายผ้าฮิญาบออกจากมืออาแปะด้วยอาการที่เกือบจะเป็นกระชาก แต่เมื่อมองหน้าตาขอโทษขอโพยของแก มัรญาณก็ได้แต่กัดริมฝีปากเพื่อควบคุมอารมณ์

ในสภาพอารมณ์ที่เกือบจะถึงขีดสุดนั้น มัรญาณยินดียิ่งที่เธอยังไม่ลืมพึมพำดุอาอฺขึ้นยานพาหนะ และมันคงมีผลแน่ๆต่อความเมตตาที่อัลลอฮฺทำให้เธอมองเห็นช่องว่างเล็กๆใกล้ที่นั่งของสาวออฟฟิศคนหนึ่งทางตอนหน้า มันน่าจะใหญ่พอให้เธอปักหลักยืนอยู่ได้ในการเดินทางที่น่าเกลียดชังนี้  และเธอก็กลั้นใจเดินหลบหลีกผู้คนที่กระทบกระทั่งเนื้อตัวเธออย่างไม่ตั้งใจตรงไปยังช่องว่างนั้นด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี

 

มันเป็นที่ยืนเล็กแคบที่มัรญาณไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ฎีกาใดใดเพื่อให้ได้มาซึ่งพื้นที่ที่ดีกว่า เหมือนนักมวยที่กระโจนเข้ามุมพักเมื่อสัญญาณหมดยกดังขึ้นหลังจากที่ถูกกระหน่ำชกจนแทบน็อกเมื่อยกที่แล้ว  ทว่าเวลาพักระหว่างยกย่อมมีจำกัด เพราะเพียงอึดใจเดียวหลังจากรถเมล์ที่เธอโดยสารเบรกตัวจอดอย่างกระแทกกระทั้นที่ป้ายรถเมล์ต่อไป เด็กหนุ่มในชุดมัธยมที่ตัวโตเหมือนนักกีฬาก็โผล่มายืนขนาบข้างพร้อมด้วยบุรุษออฟฟิศอีกคนที่ยืนใกล้ๆอยู่แต่เดิม เพียงแต่จำนวนคนที่แออัดมากขึ้นบีบบังคับให้ระยะใกล้นั้นกระชั้นเข้ามาอีก

วินาทีนั้นมัรญาณนึกอยากเป็นหอยทาก เพื่อจะได้หดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะปลอดภัยจากการสัมผัสต้องตัวกับเพศตรงข้ามแม้พียงผิวเผิน ทว่าเธอก็ไม่ได้และไม่มีวันเป็นหอยทาก เธอเป็นมนุษย์ แถมกำลังอ่อนแอย่างมากด้วย ดังนั้นเมื่อรถเมล์กระชากตัวออก แล้วสีข้างของเด็กหนุ่มมัธยมได้ไถลตามแรงรถมาถูกตัวเธอ น้ำตาหยดเล็กๆก็กระดอนออกมาจากดวงตาของเธออย่างไร้ใครแยแส

หรือเธอดัดจริตไปเองที่คิดมากคิดมายกับการสัมผัสถูกตัวกันโดยไม่ตั้งใจและอยู่ในภาวะจำเป็นเช่นนี้? แล้วที่ถูกเธอควรจะทำอย่างไร? ทำตัวเองให้ชินชาจนไร้ความรู้สึกเจ็บปวด? พยายามมองว่ามันเป็นเรื่องเล็ก?

 

 อย่าพูดเรื่องเตรียมการณ์ล่วงหน้าเลย มัรญาณแน่ใจว่าเธอเตรียมพร้อมที่สุดแล้ว เธอคำนวณเวลาและวางแผนการเดินทางล่วงหน้าเสมอ ขอดุอาอฺก่อนนอนทุกคืนให้การเดินทางที่รออยู่ในรุ่งเช้าเป็นการเดินทางที่ไม่เจ็บปวดสำหรับความเป็นมุสลิมะฮฺของเธอ แต่แน่นอนว่ามันต้องมีสักครั้งหรือหลายครั้งที่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามปรารถนา เช่นครั้งนี้เป็นต้น เชื่อเถอะว่ามุสลิมะฮฺแทบทุกคนที่ต้องเดินทางในช่วงเวลาเร่งด่วนของท้องถนนกรุงเทพฯจะต้องเคยประสบกับการถูกเนื้อต้องตัวกับเพศตรงข้ามบนยานพาหนะสาธารณะอย่างน้อยก็สักครั้ง ถึงแม้จะเตรียมตัวมาดีแค่ไหนก็ตาม มันเป็นความผิดของใคร? และทางออกอยู่ที่ไหน?

อดทน! มัรญาณไม่คิดว่าการกระทำที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดถูกระบุไว้ในอัล-กุรอานหลายต่อหลายตำแหน่งอย่างคำว่า อดทนจะคู่ควรนำมาใช้กับสภาวการณ์ที่น่าชิงชังเช่นนี้  แต่เธอก็ต้องทน ไม่ใช่อดทนหากจำทน เธอจำต้องทนกับมันทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าทำไม

 

มันเป็นปัญหาที่ดาษดื่นจนแทบไม่มีใครมองว่าเป็นปัญหาอีกแล้ว มุสลิมะฮฺคนไหนที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ก็ต้องจำทนเจ็บปวดไปแต่ลำพัง หรือไม่ก็พยายามไม่คิดอะไรเพื่อจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด เมื่อเราผ่านพ้นวินาทีนี้ไปแล้ว มันก็จะเลยผ่านไป โชคร้ายก็ตรงที่มัรญาณกำลังอยู่ในวินาทีนั้น และเธอก็เจ็บปวดเหลือเกิน

ในวินาทีที่ความบีบคั้นในหัวใจมันเอ่อท้นเท่าๆกับปริมาณน้ำที่ขอบตา มัรญาณอดคิดไม่ได้ว่าบรรดามุสลิมีนที่รายล้อมชีวิตของมุสลิมะฮฺผู้มีวิถีชีวิตเช่นเธอ ไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่ชาย น้องชาย สามี หรือใครก็ตาม ในขณะที่เขากำลังชื่นชมสนับสนุนบรรดามุสลิมะฮฺที่ยืนหยัดเคร่งครัดอยู่ในมหาวิทยาลัย ในสถานที่ทำงาน หรือในองค์กรอะไรก็ตาม เขาจะจินตนาการออกไหมถึงภาวะบีบคั้นของจิตใจที่มุสลิมะฮฺผู้แสนเก่งกาจเหล่านั้นต้องเจอ  มันเป็นราคาที่พวกเธอต้องจ่ายสำหรับการมีชีวิตอย่างมุสลิมะฮฺคนเก่งในสังคมทุกวันนี้ คนที่มีรถขับอาจไม่ต้องจ่ายราคานี้บนรถประจำทาง แต่ก็ต้องจ่ายในที่ทำงาน ในห้องเรียน ในการประชุม และอีกสารพัดที่ สารพัดสถานการณ์

สำหรับในวินาทีที่กำลังอ่อนแอยิ่งนี้…มัรญาณตอบไม่ได้เลยว่ามันคุ้มหรือเปล่า

 

เธอปรารถนาให้มันเป็นน้ำตาหยดสุดท้ายของวันนี้ สำหรับของเหลวจากดวงตาขณะที่เธอเบียดไหล่นักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งตรงประตูรถเพื่อลงมายืนที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย ถ้าบททดสอบที่เธอพบเจอในเช้าวันนี้จะมีความดีใดอยู่บ้าง มัรญาณขอต่ออัลลอฮฺว่า หากเธอมีลูกสาว อย่าให้แกต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบที่เธอเพิ่งผ่านมา…อย่าเลย !

เมื่อถึงป้ายรถเมล์ปลายทางโดยสวัสดิภาพ มัรญาณจึงเพิ่งมีโอกาสแบมือที่กำแน่นมาตลอดทางของเธอออกดู และพบว่ามันขึ้นรอยเล็บจิกจนเป็นริ้วแดง

 

……………………………………………………..

 

มันเป็นวันดีๆของชีวิตเธอ !

มัรญาณนั่งอมยิ้มอยู่ในวงล้อมของน้องๆพร้อมด้วยเพื่อนร่วมรุ่นอีกห้า-หกคน ผู้คนที่เริ่มทยอยมาถึงทำให้บรรยากาศห้องชมรมมุสลิมวันนี้คึกครื้นเสียเหลือเกิน

น้องๆที่รักคะ นี่คือเหล่าพี่ๆบัณฑิตคนแก่ เอ้ยคนเก่งของเรา  เดี๋ยวมาทำความรู้จักกันก่อนนะคะ เสียงรุ่นน้องแม่งานเลี้ยงส่งซีเนียร์ประจำปีเจื้อยแจ้ว

ตากล้องยังไม่มาเลยพี่ ใครบางคนร้องบอก

ไม่เป็นไร รอได้อีกหน่อย มะฮฺมันบ้านไกล เสียงแม่งานค่อนข้างเป็นกังวล แต่ยังหันมายิ้มแก้มปริให้พี่ๆ บัณฑิตปีนี้ วันนี้มีแต่มุสลิมะฮฺนะคะ ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกสักหน่อย จะสงวนลิขสิทธิ์ไว้เฉพาะพวกเรา ไม่ปล่อยหลุดแน่ค่ะ

มัรญาณสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของความสุข ไม่ใช่ซิ มันน่าจะเป็นความโล่งใจมากกว่า เธอผ่านวันเวลาที่เต็มไปด้วยสุขและทุกข์ในรั้วมหาวิทยาลัยไปได้แล้ว ไม่ว่ามันจะแลกมาด้วยอะไร เธอก็ผ่านมันมาได้แล้ว

 

มะฮฺมาแล้วพี่ รุ่นน้องคนหนึ่งร้องบอก พร้อมๆกับที่เด็กสาวคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามา มัรญาณไม่รู้สึกคุ้นหน้า เป็นไปได้ว่าคงจะเป็นน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาหลังจากเธอจบไปแล้ว หน้าตาเจ้าหล่อนค่อนข้างซีดเซียวคงเป็นเพราะรีบร้อนเดินทางมา ยังมีเสียงหอบหายใจปะปนอยู่ในคำให้สลามของเธอด้วยซ้ำ

ขอโทษด้วยค่ะ มาช้าไปหน่อย รอรถตั้งนาน แถมรถติดอีก

ไม่เป็นไรๆ มาช้าดีกว่าไม่มาจ้ะเอาล่ะ ตากล้องมาแล้ว เดี๋ยวเชิญพี่ๆข้างนอกเลยนะคะ น้องๆด้วย ทุกคนเลยนะ มาถ่ายรูปรวมกัน สิ้นเสียงแม่งาน พวกน้องที่ไม่เคยปกปิดอาการบ้ากล้องของตัวเองก็เฮโลลุกขึ้น ขณะที่คนอื่นๆค่อยๆทยอยตามกันออกไป

 

มัรญาณลุกขึ้นเป็นคนท้ายๆ เธออิ่มเต็มในความรู้สึกโปร่งโล่งจนคร้านจะขัดใจน้องๆ เลยยอมไปถ่ายภาพหมู่ทั้งๆที่ปกติไม่ค่อยชอบการถ่ายภาพนัก ถือว่าฉลองให้การผ่านพ้นช่วงชีวิตที่ต้องใช้ความจำทนอย่างมากก็แล้วกัน

นึกได้อย่างนั้น เธอก็ยิ้มกว้างขึ้นอีกก่อนจะเดินตามคนอื่นๆออกไป โดยไม่ทันสังเกตคนที่เพิ่งมาถึงและกำลังจะออกจากห้องเป็นคนสุดท้ายทั้งที่เป็นตากล้อง

เมื่อทุกคนทยอยออกไปหมดแล้ว เธอผู้นั้นจึงเพิ่งมีโอกาสแบมือที่กำแน่นมาตลอดของตนออกดู

…ปรากฎว่ามันขึ้นรอยเล็บจิกจนเป็นริ้วแดง !

……………………………………………………………….