เ รื่ อ ง ใ ห ญ่ ?

1.

เสียงกล่าวต้อนรับและรอยยิ้มหวานหยดของคุณครูหน้าประตูใหญ่บานนั้น

ดูเหมือนจะเป็นความทรงจำแรกที่เธอระลึกได้ในชุดอนุบาลฟูฟ่อง

มือที่กระชับแขนแม่ยิ่งแน่นเข้า และยืนเบียดจนแม่ต้องดันตัวออกห่าง ก่อนพูดฝากฝังสั่งความ

วันแรกของชีวิตนักเรียนเป็นเรื่องใหญ่โตนักแล้วในความทรงจำ

ราวกับก่อนหน้านี้ในชีวิตที่ผ่านมาสามฤดูฝน สามฤดูร้อน และสี่ฤดูร้อนมากของเธอ…

ไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

2.

เสียงพ่อค้าขายของเล่นประชาสัมพันธ์คุณสมบัติสุดมหัศจรรย์ของตุ๊กตาตัวนั้นทะลุเข้าไปในหัวใจทุกห้อง และสมองทุกขดของเธอ

อาการชะงักนิ่งไม่ยอมเดินต่อคงทำให้พ่อที่เดินนำเอะใจ แล้วตามมาด้วยอาการส่ายหน้ายิ้มๆ

พ่อเดินไปถามราคาพ่อค้า แล้วตามมาด้วยอาการส่ายหน้าเซ็งๆ

ราคามันแพงจัง…คำนวณแล้วก็เท่ากับค่าขนมครึ่งเดือนของเธอ

และตลอดครึ่งเดือนนั้น เธอก็ไม่เป็นอันทำอะไรอีก นอกจากเฝ้าฝันถึงตุ๊กตามหัศจรรย์

อาการตื่นตระหนกและกระชับมือแม่แน่นของรุ่นน้องอนุบาลหนึ่งปีนี้ที่เธอเดินกระโปรงฟูผ่านหน้าเข้าโรงเรียนไป

เหมือนจะไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรยิ่งใหญ่ต่อเธอเลย

ตุ๊กตาราคาเท่าค่าขนมครึ่งเดือนมันเป็นเรื่องใหญ่โตเสียนักแล้วในชีวิตขณะนั้น

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

3.

เสียงกำชับจากคุณครูประจำชั้นป.4ของเธอที่ใครๆก็รู้ว่าโหดที่สุดในโรงเรียน ยังดังก้องอยู่ในหู

พรุ่งนี้คุณครูนัดส่งงานประดิษฐ์ที่เธอยังไม่ได้ลงมือทำ (แต่แม่กำลังลงมือทำอยู่)

บอกแม่ว่าเธอนอนไม่หลับแน่ๆ แต่เธอก็นอนหลับไปหลังจากที่รู้ว่าแม่จะต้องทำมันจนเสร็จให้เธอให้ได้

ไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำกับอดีตตุ๊กตามหัศจรรย์ที่นอนไส้หลุดอยู่ในลังเก่าหลังตู้

(ครึ่งเดือนต่อมาหลังจากพบกันครั้งแรก เธอก็ได้มันมานอนกอด

โดยช่วยกันออกคนละส่วนกับพ่อ เธอออกเงินจากการอดออมของตัวเองตลอดครึ่งเดือนซึ่งมีจำนวนเท่าค่าขนมครึ่งวัน ส่วนที่เหลือพ่อเป็นคนรับผิดชอบ)

สำหรับคืนนั้น เรื่องงานประดิษฐ์ของครูจอมโหดดูจะเป็นเรื่องใหญ่โตเสียยิ่งนักจนเธอเก็บไปนอนฝัน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

4.

เสียงล้อรถคันใหญ่ที่เคลื่อนตัวออกจากสนามหญ้าของโรงเรียนเหมือนเสียงหัวใจเธอที่โลดไปข้างหน้า

มันเป็นปีแรกที่โรงเรียนจะไปจัดค่ายพักแรมนอกสถานที่

ถึงจะไกลออกไปไม่กี่ป้ายรถเมล์ แต่มันก็ชวนตื่นเต้นอยู่ดี

ใบหน้าโหดของครูประจำชั้นป.สี่ที่มาคุมรถวันนี้

กลับแลดูแจ่มใสใจดีสำหรับเด็กชั้นประถมปีสุดท้ายของโรงเรียนเช่นเธอ

งานประดิษฐ์ที่ได้รับคำชื่นชมว่าสวยเกินฝีมือเด็กป.สี่เมื่อสองปีก่อน

เป็นความทรงจำที่เกือบที่เลือนรางไปเสียแล้ว

ในวินาทีนี้เธอไม่ได้คิดถึงอะไรนอกไปจากค่ายพักแรมที่รออยู่ข้างหน้า

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

5.

เสียงสัมภาษณ์ของอาจารย์หน้าดุที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำให้เธอสั่นไปหมด

ทั้งที่แม่ก็ลองซ้อมคำสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนมัธยมของมุสลิมแห่งนี้ให้แล้ว แต่ก็อดประหม่าไม่ได้

และทั้งที่เมื่อคืนนี้ เธอได้ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่การเตรียมตัวมาในวันนี้

ไม่สนใจอาการเห่อของน้องชายวัยประถมที่กำลังจะไปเข้าค่ายพักแรมเป็นครั้งแรกของชีวิตเลย

มันจะอะไรนักหนากับอีแค่ไปข้างคืนนอกโรงเรียน

วินาทีนี้ไม่เห็นมีอะไรจะเป็นเรื่องใหญ่มากไปกว่าคำสัมภาษณ์ยากชะมัด ของอาจารย์หน้าดุ

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

6.

เสียงกระซิบกระซาบของเพื่อนที่ดังมาจากอีกฝั่งกำแพงทำให้เธอต้องตัดสินใจ

การหนีออกจากโรงเรียนในวันที่ผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้ไม่น่าจะมีใครสังเกตเห็นหรอกน่า

เธอพยายามปลอบใจตัวเอง…ก่อนที่จะตัดสินใจกระโดดข้ามกำแพงเตี้ยตามเพื่อนออกไป

หัวใจโลดขึ้นเมื่อพบใครบางคนเดินมาข้างหลัง

หากเพียงเหลียวหลังไปมอง ก็ยิ้มออกมาได้

แค่เด็กในชุดประถมที่จะมาสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนในวันรับเพิ่ม…วันนี้

หน้าตาของว่าที่รุ่นน้องยังมีร่องรอยความตื่นเต้นและแสนประหม่า

จนเธออยากจะปลอบว่า…ไม่ต้องห่วงหรอกน้องเอ๋ย โรงเรียนนี้เขารับทุกคนแหละ

แต่วินาทีนี้ เธอไม่นึกอยากทำอะไรมากไปกว่ารีบออกไปให้พ้นเสียจากที่ตรงนี้

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

7.

เสียงแนะนำ-โน้มน้าวของอาจารย์ฝ่ายแนะแนวการศึกษาหน้าชั้นเรียน

ไม่ได้เป็นที่สนใจของเธอมากกว่าเสียงพูดคุยกันของเพื่อนๆ

ทุกคนในกลุ่มตัดสินใจจะเลือกเรียนสายวิทย์ในปีการศึกษาหน้า

แต่เธอยังลังเล…ค่าที่ชอบเรียนภาษามากเสียเหลือเกิน

เมื่อเช้ามีเรื่องรุ่นน้องถูกลงโทษหน้าแถวเพราะหนีออกนอกโรงเรียน

แต่เธอแทบไม่ได้สนใจเพราะประหวัดคิดถึงแต่เรื่องการตัดสินใจเลือกสายเรียนในระดับชั้นมัธยมปลาย

มันเป็นเรื่องที่เธอต้องคิดหนักจริงๆ ระหว่างเลือกในสิ่งที่ตัวเองรัก กับเพื่อนที่รัก

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

8.

เสียงประธานนักเรียนอ่านดุอาอฺปิดประชุมสภานักเรียน

ไม่ได้ทำให้ห้องประชุมความกังวลในหัวใจเธอถูกปิดลงด้วย

จะปิดได้ยังไง…ในเมื่องานสารพัดอย่างถูกสุมลงมาที่ฝ่ายวิชาการอย่างเธอจนแทบจะมองไม่เห็นทางสะสาง

เมื่อพ้นห้องประชุมออกมา..รุ่นน้องมัธยมต้น2-3 คนก็รุดเข้ามาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกสายเรียน

เธอแนะนำอย่างง่ายๆว่าให้เลือกในสิ่งที่ตัวเองถนัดและอยากเรียน…เหมือนที่เธอเคยเลือกไม่ต้องตามเพื่อน

เพราะสุดท้ายความต่างทางสายการเรียนมันเป็นอะไรที่เล็กน้อยมากในระหว่างความเป็นเพื่อน

เธอบอกเพิ่มอย่างจริงจังด้วยว่าพอขึ้นสู่ชั้นมัธยมปลาย เรียนสายไหนก็เป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น

เพราะมีงานอันใหญ่โตในสภานักเรียนรอคอยทุกคนอยู่

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

9.

เสียงอาจารย์ใหญ่กล่าวปัจฉิมนิเทศดังกังวานไปทั่วแต่ เช่นเคย-ไม่มีใครสนใจฟัง

เธอเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในหัวของเพื่อนนักเรียนชั้นปีสุดท้ายที่นั่งหน้าสลอนอยู่ด้วยกันตอนนี้คงไม่ต่างไปจากในหัวของเธอ

นั่นคือมีแต่เรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กำลังจะมาถึง

แม้แต่คำปรึกษากิจกรรมด้วยสีหน้าจริงจังของรุ่นน้องสภานักเรียนก็ดูเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรยากลำบากเลย

ก็การเข้ามหาวิทยาลัยมันเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตการศึกษาของเด็กๆ

และยังเป็นการแข่งขันทางการศึกษาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ทุกคนเคยผ่านมานี่

พวกเราก็ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว วางแผน และครุ่นคิด

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

10.

เสียงว๊ากของรุ่นพี่ในบรรยากาศทึบทึมของห้องเชียร์ทำให้หัวใจเธอหดหู่บอกไม่ถูก

เธอเพิ่งเคยพบกับกิจกรรมเช่นนี้เป็นครั้งแรก และแน่ใจว่าจะต้องไม่มีครั้งที่สอง

เธอยอมเสียเวลาตลอดเดือนแรกๆของชีวิตนักศึกษาไปกับการครุ่นคิดเรื่องหนีห้องเชียร์ และหาเพื่อนให้ได้โดยไม่ต้องผ่านกิจกรรมนรกชนิดนี้

ดังนั้น เมื่ออาจารย์แนะแนวของโรงเรียนเก่าเชิญไปพูดแนะนำการเตรียมตัวสอบให้รุ่นน้องม.6 เธอจึงบอกว่า…

การเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นอะไรที่ยากเย็นไปกว่าการเตรียมตัวใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย

เธอใส่ประเด็นเรื่องกิจกรรมรับน้องและความเพี้ยนสุดๆของมันเสียจนเต็มเวลาคาบแนะแนว

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

11.

เสียงฮะละเกาะฮฺของรุ่นพี่มุสลิมะฮฺในชมรมมุสลิมก่อให้เกิดความสงบใจอย่างประหลาด

เธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นภายในตัวเองตลอดระยะเวลาที่ผูกพันกับชมรมแห่งนี้

และกับสิ่งที่เธอกำลังคิดอย่างแน่วแน่ หลังจากศึกษาและอิสติคอเราะฮฺมาจนพบความมั่นคงในหัวใจ

เธอจะปิดหน้า…ดูเหมือนจะเป็นคนแรกของคณะที่เรียน นั่นไม่สำคัญหรอก

สิ่งที่เธอครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจังคือคำอธิบายต่อที่บ้านที่ดูจะยังไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ต่างหาก

มันเป็นเรื่องที่กินพื้นที่ในสมองส่วนใหญ่ของเธอไปในเวลานี้

แม้เมื่อรุ่นน้องมุสลิมปีหนึ่งในคณะเข้ามาถามถึงวิธีหนีประชุมเชียร์

เธอก็ยังอาสาเข้าไปคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันซึ่งเป็นพี่เชียร์ให้ โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องหนักหนาอะไรเลย

การไม่เข้าห้องเชียร์ในสายตาของคนที่ผ่านชีวิตปีหนึ่งมาแล้วเช่นเธอเป็นอะไรที่เล็กน้อยและเด็กมาก

โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เธอมีเรื่องปิดหน้าที่จะต้องใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง และมอบหมายต่ออัลลอฮฺอย่างหนักหนา

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

12.

เสียงอาจารย์ที่ต่อว่าเธอกลางห้องเรียนวิชาสัมมนาอันแสนเกลียดยังดังก้องอยู่ท่ามกลางน้ำตาริน

เธอไม่เคยเรียนอะไรที่มหาหินกับอาจารย์มหาโหดขนาดนี้มาก่อน

นึกอยากจะลาออกกลางเทอมสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาเสียให้รู้แล้วรู้รอด

มันเป็นอารมณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวยิ่งกว่าที่เคยไม่ไหว

ดังนั้นเมื่อน้องมุสลิมะฮฺในชมรมมาปรึกษาเรื่องจะปิดหน้า เธอจึงบอกว่าถ้ามั่นใจว่ามันดีกว่าก็ทำเถอะ

ที่นี่เขาให้เสรีภาพเราสูงจะตายในเรื่องนี้ ไม่มีปัญหาเลย เรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญตางหาก ที่เราต้องทำให้ดี

ก็อย่างเรื่องเรียนที่เธอกำลังปวดหัวและปวดหัวใจเจียนตายอยู่นี่ไง

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

13.

เสียงเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันที่ทยอยได้งานกันไปหมดแล้วทำให้เธอสูดลมหายใจให้เต็มปอดอีกครั้ง

เธอต้องทำได้ซิ…กับแค่ไปสัมภาษณ์งานทั้งที่ปิดหน้ามันจะกระไรนัก อัลลอฮฺจะต้องช่วยเหลือเธอ เธอเชื่อมั่น

เอกสารเกี่ยวกับบริษัทที่จะไปสัมภาษณ์ยังวางกองอยู่บนโต๊ะ

และมันทำให้เธอรู้ว่าวิชาสัมมนาในรั้วมหาวิทยาลัยที่แสนยากนั้น

ไม่ได้ยากไปกว่าวิชาชีวิตจริงในมหาวิทยาลัยชีวิตเลย

แต่เธอต้องทำได้…พยายามเรียกความเชื่อมั่นของตัวเองกลับมา และทุ่มเวลาไปกับการเตรียมตัวไปสัมภาษณ์งานอย่างจริงจังที่สุด

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

14.

เสียงเยาะเย้ยถากถางจากเพื่อนร่วมงานตรงห้องกาแฟหัวมุมโน้นดังมาอีกแล้ว

เธอพยายามอดกลั้นจนถึงที่สุด แต่ทุกสิ่งย่อมมีจุดเดือดของมันและตอนนี้จุดนั้นกำลังจะดังกริ๊งอยู่ในหัวเธอ

ไม่ใช่ไม่เคยอธิบาย แต่บางพฤติกรรมที่เกิดจากอคติของบางคนนั้นไม่ต้องการคำอธิบาย

เมื่อประกอบกับความอึดอัดทั้งในใจตนและในสีหน้าของเจ้านายชายกลางคน

ตอนที่เธอขอให้เขาออกมาพูดธุระกับเธอที่นอกห้องส่วนตัว

ทำให้แผนที่อยู่ในหัวของเธอยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที และทุกที

มันคงจะไม่ใช่ที่อยู่ของมุสลิมะฮฺอย่างเธอจริงๆนั่นแหละ สำหรับบริษัทแห่งนี้

บทสัมภาษณ์ที่เธอเตรียมตัวเป็นอย่างดีและทุ่มเททุกอย่างให้เมื่อสองเดือนก่อน

ไม่มีน้ำหนักอะไรพอจะฉุดรั้งเธอไว้ได้อีกแล้ว

ตอนนี้เธอได้ทุ่มความคิดและทั้งหมดของสิ่งที่ต้องทำไปที่ซองสีขาวและแบบฟอร์มจดหมายลาออก

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

15.

เสียงร่ำไห้แผ่วเบาของเพื่อนมุสลิมะฮฺที่ผ่านสายโทรศัพท์มาทำให้เธอช็อค

ใช่ เธอช็อค และรู้สึกร้าวไปทั้งอก เมื่อทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น

เธอไม่รู้ว่าความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจระหว่างเราเกิดขึ้นที่ตรงไหนและทำไมมันเจริญเติบโตเร็วนัก

เราเคยทำงานร่วมญะมาอะฮฺเดียวกัน แม้ไม่มีชื่อกลุ่ม หรือชื่อปฏิบัติการอะไร

แต่ก็เป็นที่รับรู้ว่าเราอยู่ญะมาอะฮฺเดียวกัน

เธอเกลียดความขัดแย้ง โดยเฉพาะความขัดแย้งแบบผู้หญิงที่ไม่ยอมพูดอะไรกันซึ่งๆหน้า แต่กลับเอาไปพูดลับหลัง

มันเป็นความเจ็บปวดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต

ที่ทำให้การเดินออกจากบริษัทเงินเดือนงามเมื่อปีก่อนดูเป็นเรื่องเล็กจิ๋วเหมือนลูกปลาซิวคลอดก่อนกำหนด

ความขัดแย้งระหว่างเรากับกาฟิรจะมีน้ำหนักอะไรเมื่อเทียบกับความไม่เข้าใจระหว่างเรากับพี่น้องมุสลิมด้วยกัน

นี่ถ้าเธอไม่ลงทุนต่อสายมาเคลียร์กันแบบตรงๆ

คงไม่รู้ว่ามีเรื่องที่เพื่อนไม่เข้าใจความคิดของเธอมากมายจนออกปากว่า คงทำงานร่วมกันต่อไปไม่ได้แล้ว

มันเป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เธอถึงกับเซทำอะไรไม่ถูกและเสียเวลาทรงตัวอยู่ระยะหนึ่ง

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

 

16.

เสียงอิญาบ-กอบูลของผู้ชายสองคนในมัสญิดซึ่งมีชื่อเธอรวมอยู่ในทั้งสองประโยคนั้นราวกับจะดังก้องอยู่ในหัวและหัวใจ

ใช้เวลาไม่นานเลยจริงๆกับการกระทำการตามขั้นตอนของอิสลาม และมอบหมายต่ออัลลอฮฺอย่างสุดหัวใจ

ชีวิตครอบครัวที่จะเกิดขึ้นหลังจากวินาทีนี้เป็นสิ่งที่นำความรู้สึกมหัศจรรย์มาให้ จนลืมสิ้นแทบทุกเรื่อง

ลืมแม้แต่คำพูดว่าคงทำงานร่วมกันต่อไปไม่ได้แล้ว ของคนที่เข้ามาสวมกอดแสดงความยินดี

มันอาจเป็นเพียงอารมณ์ชั่วครู่ของผู้หญิง ที่ได้รับการสุมไฟจากชัยฏอนวายร้ายด้วยกระมัง

…สำหรับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาพูดหรือนึกถึงในวันนี้มิใช่หรือ

วันที่เธอมีอะไรหลายอย่างต้องคิด และต้องทำเพื่อชีวิตใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา

และก็คงจะใช้อีกมากมายวินาทีหลังจากนี้ไปเพื่อมัน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

17.

เสียงอะไรบางอย่างภายในที่กระทุ้งผิวเนื้อของท้องนูนนำพาความรู้สึกประหลาดที่สุดในชีวิตมาให้

เป็นความรู้สึกผ่อนคลายที่มาพร้อมกับความรู้สึกหนักหน่วงเหลือรับ

เธออ่านอายะฮฺอัลกุรอานที่พูดเกี่ยวกับพัฒนาการของชีวิตน้อยๆในครรภ์พอดี

ตอนที่ผู้อยู่ภายในกระทุ้งเหมือนตอบรับ

มันเป็นความรู้สึกยิ่งใหญ่เสียจนเธออยากจะไปป่าวร้องให้น้องๆที่ชอบเข้ามาถามเกี่ยวกับสารพัดแนวคิดเรื่องคู่ครอง

และการเตรียมตัวเพื่อครองคู่ได้รู้ว่า…

สิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมายยิ่งกว่าการมัวแต่เลือกอยู่นั่น คือความรู้สึกนี้ และภารกิจนี้ต่างหาก

ตอนนี้เธอมุ่งความสนใจทั้งหมด และความวิตกกังวลทั้งสิ้นไปที่ชีวิตน้อยๆในครรภ์

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

18.

เสียงร้องของเด็กตัวแดงผู้นั้นไม่ดังเลยในห้องคลอดมิดชิดแต่ดังนักในห้องหัวใจอันสว่างโร่

มันเป็นความเจ็บปวดที่ชวนอิ่มเอมที่สุด ไม่สามารถหาคำบรรยายได้

และราวกับความเจ็บปวดทั้งหมด ความวิตกกังวลทั้งมวลตลอดเก้าเดือนที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องที่ถูกลืมไปเสียสนิทแล้ว

วินาทีนี้ เจ้าของเสียงร้องเมื่อครู่ต่างหากที่กินเนื้อที่ความสนใจและทั้งหมดแห่งความปรารถนาในชีวิตของเธอไป

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

19.

เสียงร้องจ้าไม่หยุดที่มาพร้อมกับไข้ที่สูงขึ้นทุกทีของเด็กชายในอ้อมแขนทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจตนเป็นไข้สูงไปด้วย

เธอขอดุอาอฺให้ความเจ็บปวดของเด็กชายมาลงอยู่ที่เธอเสียยังจะดีกว่า

ความเจ็บปวดแม้อย่างที่สุดในยามคลอดเขาออกมายังไม่ได้เทียบเท่าหัวใจรอนๆในตอนนี้

และพร้อมจะเจ็บปวดเช่นนั้นแล้วเช่นนั้นอีกด้วยซ้ำแค่ขอให้ไข้ของคนในแขนลดลงสักหนึ่งองศา

พาหนะที่พุ่งไปสู่โรงพยาบาลคงเร็วที่สุดแล้วสำหรับคนขับ แต่มันยังไม่ทันใจเธออยู่ดี

ไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งใดในห้วงความคิดของเธอเลย ณ วินาทีนี้

…นอกจากคำวิงวอนที่เกี่ยวข้องกับอาการของร่างในอ้อมแขน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

20.

เสียงใสที่อ่านอัลกุรอานอย่างพยายามจะให้ชัดที่สุดเป็นเสียงที่ไพเราะสำหรับเธอยิ่งกว่าเสียงของเชคคนไหนๆในโลก

เธอเริ่มคิดเรื่องการวางแผนการศึกษาให้เขาอย่างจริงจังด้วยตัวเอง

ตระหนักในตอนนี้เองว่า ความเจ็บป่วยใดใดที่อัลลอฮฺได้รักษาชีวิตของเขาให้ผ่านพ้นมาจนวันนี้

ไม่ได้หนักหน่วงมากไปกว่าการจะรักษาชีวิตของเขาให้คงมั่นอยู่ในแนวทางนี้ตลอดไป

การที่เขามีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่สำคัญมากไปกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร

และการให้การศึกษากับเขา ให้เขาได้รู้จักทางนำที่จริงแท้ของชีวิตดูจะเป็นทางรอดเดียวที่เธอแน่ใจ

มันเป็นเรื่องที่เธอต้องทุ่มเทเวลาคิดย่างหนักหน่วงและรอบด้าน

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

21.

เสียงคำขานชื่อโรคภัยนั้นเป็นไปอย่างเห็นอกเห็นใจและให้กำลังใจอยู่ในที

เธอยอมรับว่ารู้สึกช็อกกับชื่อโรคที่ทุกคนในทศวรรษนี้หวาดกลัว

แม้ว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรงหน้าจะยืนยันว่ามันสามารถรักษาให้หายได้

คนข้างๆบีบมือให้กำลังใจ  และจังหวะนั้นเองที่ทำให้เธอตั้งสติได้

แผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมดทั้งในเรื่องลูก…คนที่สำคัญที่สุดในชีวิต และเรื่องอื่นๆจะไม่มีน้ำหนักอันใดเลย

ถ้าเธอไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ให้ผ่านพ้น

ดังนั้นเธอจะใช้เวลาและความจริงจังในการต่อสู้กับมันด้วยดุอาอฺ ด้วยหัวใจ และทุกๆวิธีการรักษา

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

22.

เสียงจ๊อกแจ๊กเต็มชีวิตเติมชีวาของเด็ก ๆ ที่รายรอบทำให้เธอรู้สึกชื่นบานขึ้นมาได้

ในวันวัยที่ดูจะไม่มีอะไรให้ชื่นบานมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ลูกๆ และครอบครัวของพวกเขานั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้าสรวลเสเฮฮานัก

ญาติมิตรยังคงถามไถ่ถึงประสบการณ์โรคภัยร้ายแรงในอดีตว่าเธอผ่านพ้นมันมาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร

เธอยังคงไม่เหนื่อยที่จะตอบมันด้วยน้ำเสียงราวกับโรคที่เป็นนั้นก็เพียงชนิดหนึ่งของเชื้อหวัด

มันผ่านไปแล้ว ใช่ มันผ่านไปแล้วด้วยอนุมันติของอัลลอฮฺเท่านั้น

ตอนนี้ ชีวิตเธอก็ได้แต่นั่งดูหลานๆในชุดกระโปรงฟูฟ่องวิ่งไปมา

สังเกตสรรพสิ่ง ละหมาดอย่างเอาใจใส่ และเตรียมตัวอย่างเต็มที่สำหรับวันที่จะถูกนำไปละหมาด

ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะใหญ่โตมากกว่าเรื่องนี้ไปได้เลย

………………………………………………

 

23.

เสียงร้องเท้าคู่สุดท้ายที่ตามมาส่งเธอค่อย ๆ เงียบหายไปในความสงัดเงียบ

มันเป็นวินาทีที่ไม่มีคำบรรยาย ไม่มีใครรับรู้ ไม่มีผู้ช่วย ทั้งไม่มีทางอื่นใดให้เร้นหนี

คำถามที่จะเกิดขึ้นหลังจากวินาทีนี้คงไม่ใช่คำถามของมนุษย์อีกแล้ว

และเธอก็ได้ตระหนักในวินาทีนี้เองว่า…

ก่อนหน้านี้…ชีวิตเธอไม่เคยเจอเรื่องอะไรที่ใหญ่โตมากกว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้เลย…ไม่เคย!

 

………………………จบ………………………